วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557
ภัยเงียบ ! ! ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C)
ไวรัสตับอักเสบซี ถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2532 เป็นไวรัสตับอักเสบชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบในตับ สามารถทำให้เกิดการตับอักเสบทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรังตลอดจนตับแข็งและมะเร็งตับ ความรุนแรงของไวรัสชนิดนี้คือ เป็นตับอักเสบเรื้อรังมากกว่าชนิดอื่น และยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ ทำได้ก็เพียงการให้ยาลดไวรัสและป้องกันการเกิดมะเร็งตับเท่านั้น
ปัจจัยเสี่ยงและการติดต่อ
ไวรัสตับอักเสบซี ติดต่อทางเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันแต่มีผู้ป่วยบางท่านได้รับเชื้อโดยไม่ทราบแหล่งที่มาปัจจัยเสี่ยงได้แก่
• ผู้ที่เคยได้รับเลือด และ สารเลือดก่อนปี ค.ศ. 1992 เนื่องจากยังไม่มีการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี
• เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ได้รับอุบัติเหตุถูกเข็มตำ
• ผู้ป่วยติดยาเสพติดใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
• ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีเชื้อ ไวรัสตับอักเสบซี พบได้ร้อยละ 5
• ผู้ที่สำส่อนทางเพศ หรือ รักร่วมเพศ
• ไดรับเชื้อจากการสักตามตัว
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบซี
อาการของตับอักเสบเฉียบพลันจาก ไวรัสตับอักเสบซี
1. ไม่มีอาการ
2. อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลดและลงท้ายด้วยตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองพบได้เพียง 10-15% เท่านั้น ที่เหลือไม่พบ จึงทำให้ยากต่อการวินิจฉัย
อาการตับอักเสบเรื้อรังจาก ไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอาการ บางรายอาจมีอาการเหนื่อยเพลีย ไม่มีแรง มึนงง สมองไม่สั่งงานและเมื่อตับอักเสบไปเรื่อยๆ จึงพบอาการตับแข็ง นอกจากนั้นอาจพบอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานผิดปกติ เช่น โรคไต โรคผิวหนังผื่นตามผิวหนัง เป็นต้น
การรักษาโรค ไวรัสตับอักเสบซี
ตับอักเสบเฉียบพลัน เนื่องจากผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันมักไม่ค่อยมีอาการ จึงไม่มีการรักษาใดๆ เป็นเพียงการดูแลรักษาตามอาการเท่านั้น เช่น ถ้าอ่อนเพลียก็ให้พักผ่อนเยอะๆ ไม่นอนดึก หลีกเลี่ยงอาหารมัก เป็นต้น
ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่จะกลายเป็นโรคเรื้อรังและมีการดำเนินของโรคไปเรื่อยๆ จนถึงสภาพตับเสื่อมและตับวายในที่สุด ปัจจุบันยาที่ใช้เป็นมาตรฐาน ในการรักษาคือ การให้ยา 2 ตัวร่วมกัน คือ ยาฉีดในกลุ่มอินเตอร์เฟอรอนร่วมกับยาไรบาไวริน ซึ่งเป็นยารับประทาน ยาทั้งสองจะให้ผลดีคือกำจัดไวรัสให้หมดไปและไปเป็นซ้ำอีกหลังหยุดยาซึ่งให้ผลเฉลี่ยมากกว่า 50%
การป้องกันไวรัสตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซี เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดความรุนแรงต่อตับ ตั้งแต่การติดเชื้อเรื้อรัง ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็งและมะเร็งตับ แม้ว่าการคัดกรองเลือดในปัจจุบันจะมีความแม่นยำมากขึ้น ร่วมกับการรณรงค์เรื่องการใช้เข็มฉีดยายาเสพติด ทำให้การติดเชื้อจากแหล่งเหล่านี้ลดลง แต่มีแนวโน้มจะติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากการกระทำบางอย่าง เช่น ห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน สวมถุงมือถ้าต้องสัมผัสเลือด ห้ามใช้มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกัน ห้ามใช้อุปกรณ์ในการสัก การเจาะ ร่วมกัน ใช้ถุงยางอนามัยหากมีเพศสัมพันธ์หลายคน และเนื่องจากวัคซีนสำหรับการป้องกันยังไม่ค้นพบ ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อจึงถือว่าดีที่สุด
บทความที่ได้รับความนิยม
-
ขอเชิญผู้รับผิดชอบงานสุขภาพภาคประชาชน เข้าร่วมประชุม ดังรายละเอียดตามนี้ ๑.วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เรื่องการอบรมฟื้นฟู...
-
นางนงนุช บุญวิเศษ อสม.ดีเด่นระดับเขต 10 ประจำปี 2555 สาขาสุขภาพจิตในชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเชียงหวาง อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุ...
-
สำรวจพบพบเชื้อเอชพีวี หรือเชื้อมะเร็งปากมดลูกในห้องน้ำสาธารณะ ทั้งก้านกดชักโครก ก๊อกน้ำล้างมือ ที่รองนั่งโถส้วม เจอจากห้องน้ำในผั...
-
โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis ) โรคข้อเสื่อม คือภาวะที่ส่งผลกระทบต่อข้อทำให้ข้อติด และปวดข้อ มักใช้เวลาดำเนินโรคหลายปี และมักเป็...
-
บริการทันตกรรมในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ทุกช่วงอายุครรภ์ตามโครงการแม่ฟันดีสู่ ลูกรัก โดยจะมีการออกให้บริการตรวจสุขภาพช่องปาก และการให้การรักษาเบื...
-
โรคตับแข็งจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ Alcohol-induced cirrhosis ภาวะตับแข็งเกิดจากเซลล์ของตับถูกแทนที่โดยเนื้อเยื่อพังผืด ทำให้ลักษณะเนื้อเยื่อต...
-
"สุรวิทย์" ออกนโยบายยกระดับมาตรฐานตลาดนัดกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ เตรียมประกาศให้ตลาดนัดเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชี้ต้อ...
-
หลังจากบิดาของเด็กหญิงวัย 2 ขวบ ที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุที่โรงพยาบาล (รพ.) นพรัตน์ราชธานี กรุงเทพมหานคร ออกมาเปิดเผยว่า แพทย์ตรวจ...