วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

'เต้นบัลเลต์-กระโดดเชือก' ช่วยพัฒนาสมอง เสริมหัวใจให้แข็งแรง

'เต้นบัลเลต์-กระโดดเชือก' ช่วยพัฒนาสมอง เสริมหัวใจให้แข็งแรง


การเต้นบัลเลต์เป็นกีฬาที่น้อยคนนักจะทราบว่าเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยพัฒนาร่างกายและสมองไปในคราวเดียวกัน โดย อ.ดาริณี ชำนาญหมออาจารย์ประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้ความรู้ถึงประโยชน์ของการเต้นบัลเลต์ว่า เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่มีแบบแผนและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก โดยผู้ฝึกต้องจัดระเบียบร่างกายและกล้ามเนื้อให้ถูกต้องตามหลัก เมื่อฝึกต่อเนื่องเป็นเวลานานร่างกายจะสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา ซึ่งการฝึกบัลเลต์ช่วยพัฒนาสมองของผู้ฝึกทั้งด้านความจำและสมาธิ เนื่องจากเป็นการเต้นที่มีท่าทางตายตัว ผู้ฝึกจึงต้องจดจำท่าทางให้ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องมีสมาธิและสติเพื่อรับรู้ว่าจัดระเบียบร่างกายได้ถูกต้องหรือไม่ เมื่อมีสมาธิดี ก็ย่อมทำให้เรียนรู้ได้ไวจดจำสิ่งรอบตัวได้มากขึ้น อีกทั้งขณะฝึกบัลเลต์ยังได้ฟังเพลงคลาสสิก ซึ่งมีผลวิจัยออกมาว่ามีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองและเพิ่มไอคิวได้ เคล็ดลับสำหรับการฝึกบัลเลต์ในผู้ใหญ่ให้ได้ผลก็คือ ต้องมีความเชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ หมั่นฝึกฝนเป็นประจำ และมีความอดทนในการฝึก หากอยากมีสมองที่ฉับไว ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหนก็สามารถฝึกบัลเลต์ได้เพียงแต่อาจใช้เวลาในการพัฒนาต่างกัน

สำหรับกีฬาที่ช่วยเสริมหัวใจให้แข็งแรง คือ การกระโดดเชือก เป็นกีฬาที่ได้รับการยอมรับทั้งจากประเทศไทยและทั่วโลกว่าสามารถสร้างสุขภาพได้จริง ซึ่งจะเห็นได้จากการตั้งชมรมหรือสมาคมกระโดดเชือกในนานาประเทศ รวมไปถึงมีการจัดให้มีการแข่งขันในระดับนานาชาติทั้งในรูปแบบกระโดดคนเดียวและกระโดดพร้อมกันครั้งละหลาย ๆ คน โดยพล.อ.นพ.ประวิชช์ ตันประเสริฐ ประธานโครงการกระโดดเชือกทางเลือกเยาวชนพ้นโรคหัวใจมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้คำแนะนำว่า การกระโดดเชือกเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงและใช้กล้ามเนื้อ เช่น แขน ขา อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้หัวใจเต้นช้าลง สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ครั้งละปริมาณมาก จึงทำให้ปอดขยาย และกักเก็บออกซิเจนได้มากขึ้น นอกจากนี้การกระโดดเชือกยังเป็นการออกกำลังกายที่ต้องอาศัยการทรงตัวที่ดี เมื่อกระโดดเชือกเป็นเวลานาน จึงยิ่งส่งเสริมให้ร่างกายมีการทรงตัวที่ดี และช่วยลดปัญหาหกล้มหรือเดินเซ เมื่อเข้าสู่วัยชราได้ อีกทั้งในขณะที่กระโดดเชือกสายตาและเท้าต้องทำงานประสานกันตลอดเวลา จึงเป็นการเพิ่มความคล่องแคล่ว ว่องไว ให้แก่ระบบประสาทได้เป็นอย่างดี


วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

ศจย. ชวน อสม. เลิกบุหรี่ในวันอสม.

ศจย. ชวน อสม. เลิกบุหรี่ เริ่มต้นวันดี ในวันอสม.แห่งชาติ



ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)กล่าวว่า ศจย. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้สนับสนุนการวิจัยเรื่อง “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) 5 จังหวัด” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี อสม. กระจายในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศจำนวนหลายแสนคน  โดย อสม. ถือว่ามีบทบาทในการเป็นผู้นำ การเผยแพร่ความรู้ ค่านิยมและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ คณะผู้วิจัยจึงได้ทำการวิจัยเพื่อนำไปสู่สนับสนุนให้ อสม. ลด ละ เลิกบุหรี่ ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ร้อยเอ็ด และยะลา  โดยพบว่า อสม. บางส่วนยังคงสูบบุหรี่  ซึ่ง อสม. ชาย ที่ยังมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ อยู่ที่ 25-66% ของ อสม. ชายทั้งหมด จึงนำไปสู่การทำโครงการเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่การลด ละ เลิก

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรเมื่อ..ผิว (เริ่ม) เครียด

ทำอย่างไรเมื่อ..ผิว (เริ่ม) เครียด



สาเหตุของโรคเครียดทำร้ายผิวเป็นอาการที่บ่งบอกว่าร่างกายของเรานั้นเหนื่อยและเครียดจนเกินระดับปกติแล้ว ทำให้มีอาการแสดงออกมาทางผิวหนัง เป็นผื่นแดงและคัน หากผู้ป่วยเผลอไปเกาจนผิวหนังเป็นแผลกลายเป็นแผล เปิดประตูรับเชื้อโรคต่าง ๆ ให้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดอันตรายจากการติดเชื้อตามมา


สังเกตอาการเมื่อผิวเริ่มเครียด : ผิวจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง เป็นขุยที่หน้าตา หัวคิ้ว ข้างจมูก หลังหู ไรผม ซึ่งเรียกว่า "เซ็บเดิร์ม" และเกิดผื่นคล้ายลมพิษขึ้นตอนเย็นหลังเลิกงาน หลังออกกำลังกาย หรือช่วงมีระดู มีผื่นตามตัว มักขึ้นในช่วงนอนดึก เครียดจัด จะเป็นแล้วก็หายไปได้เอง แต่สักระยะ ก็เป็นใหม่อีก

การรักษาอาการผิวเครียด : สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าทำงานอย่างหักโหมและพยายามกำจัดความเครียดให้หมดไป รู้จักการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่าให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป ควรทำจิตใจให้แจ่มใสเสมอ ด้วยการฝึกสมาธิ ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมงเพื่อขับไล่ความเครียด และทำให้ร่างกายได้หลั่งสารความสุข ที่เรียกว่า เอ็นโดฟิน ซึ่งสารนี้มีฤทธิ์คลายปวดทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม ควรดื่มน้ำสะอาดเพื่อให้ร่างกายสดชื่น บำรุงร่างกายด้วยการกินวิตามินซี สังกะสี น้ำมันปลา กินอาหารที่มีธาตุร่าเริงเช่นข้าวโพดเหลือง ปลาสด และ มะเขือเทศ

นอกจากนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดี ซึ่งในปัจจุบัน เวชสำอางถือว่าเป็น Today Generation ของวงการเครื่องสำอางในปัจจุบัน และมีประสิทธิภาพสูงในปริมาณที่มากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป ด้วยคุณสมบัติเฉพาะของเวชสำอาง ที่มีเนื้อบางเบา ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม และสารปรุงแต่ง จึงมีความอ่อนโยนต่อผิวพรรณ สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็วไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง และทำให้รู้สึกสบายผิว พร้อมทั้งช่วยในการปรับสภาพผิวได้ดีอีกด้วย

บทความที่ได้รับความนิยม