วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เตือนกระเช้าปีใหม่ ใส่เหล้าผิดกฎหมาย




สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เตือนผู้ประกอบการห้ามจำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากพบฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000  บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายแพทย์ชำนาญ หาญสุทธิเวชกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เชียงราย กล่าวว่า การดื่มสุราหรือเหล้ามีผลกระทบทั้งทางร่างกาย สังคม และประเทศชาติ พิษของแอลกอฮอล์ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ความจำเสื่อม ขาดความรับผิดชอบ ประสาทหลอน หูแว่ว หลงผิด หวาดระแวง คลุ้มคลั่ง ซึ่งมีผลต่อการเสื่อมทางจิตใจด้วย นอกจากนี้ผู้ที่เมาสุราหากขับรถมักจะควบคุมสติสัมปชัญญะไม่ได้ ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมาย
ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข พบว่าในช่วงระหว่างเดือนพ.ย. – ก.พ. ของทุกปี มีเทศกาลมากมาย โดยเฉพาะเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะพบการกระทำอันฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ได้แก่ การจัดจำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งถือเป็นการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยการกำหนดเงื่อนไขการขายในลักษณะที่เป็นการบังคับซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยทางตรงหรือทางอ้อม ตามมาตรา 30(5)
ดังนั้น สสจ.เชียงราย จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการบริษัท ห้างร้าน ให้จำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 30(5) ห้ามไม่ให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยวิธีการหรือลักษณะของการกำหนดเงื่อนไขการขายในลักษณะที่เป็นการบังคับซื้อเครื่องดื่มชนิดนี้โดยทางตรงหรือทางอ้อม หากพบฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000  บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"ไวรัสโรต้า" ระบาดหน้าหนาว เสี่ยงท้องร่วงทุกวัย



หน้าหนาวระวัง "เชื้อไวรัสโรต้า" ทำเด็กและผู้สูงอายุป่วยท้องร่วงมากสุด เผยสถิติหน้าหนาวปีที่แล้ว ป่วยมากถึง 3.5 แสนคน 50% เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป สธ.แนะวิธีป้องกันโรค
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า โรคอุจจาระร่วงเป็นโรคที่พบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาว พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเชื้อไวรัสโรต้าส่วนใหญ่เป็นต้นเหตุโรคอุจจาระร่วงในฤดูหนาว มักจะพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยเชื้อจะปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม และติดต่อกันได้ทางน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วย เชื้อไวรัสโรต้าเป็นเชื้อที่พบมานานแล้ว พบได้ทั่วโลก เด็กที่ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดนำมาก่อน ต่อมาจะถ่ายอุจจาระเป็นน้ำปนฟองและมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว มีอาเจียนร่วมด้วย หากเป็นมากอาจทำให้เด็กขาดน้ำรุนแรง เสียชีวิตได้
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า เชื้อไวรัสโรต้า ติดต่อกันง่ายมาก เชื้อจะออกมากับอุจจาระเด็กที่ป่วย ติดต่อกันโดยเชื้อปนเปื้อนในอาหารและน้ำดื่ม บางครั้งเชื้อติดอยู่กับของเล่นเด็ก เมื่อเด็กหยิบเข้าปากก็ติดเชื้อได้ ดังนั้นในการป้องกันเด็กป่วย ขอให้ผู้ปกครองหมั่นล้างมือให้เด็ก ทำความสะอาดของเล่นบ่อยๆ เตรียมอาหารเด็กให้สุกด้วยความร้อน ดื่มน้ำต้มสุก ส่วนแม่หลังคลอดแนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน เด็กจะได้รับภูมิต้านทานโรคจากแม่ ไม่ป่วยง่าย ส่วนในกลุ่มประชาชนทั่วไป ขอให้รับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อน หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ ใช้ช้อนกลางตักอาหาร และล้างมือฟอกสบู่ทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังจากใช้ห้องน้ำทุกครั้ง ทั้งนี้ ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชน เพื่อป้องกันการป่วยจากโรคดังกล่าว
ด้าน นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า จากการเฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วงในฤดูหนาวปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ พ.ย. 2555 ถึง ก.พ. 2556 รวม 4 เดือน พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงจำนวน 352,442 ราย โดยเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปเกือบร้อยละ 50 เสียชีวิต 8 ราย การดูแลผู้ที่ป่วยโรคอุจจาระร่วง กรณีเด็ก ขอให้เด็กกินอาหารเหลวบ่อยๆ เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด รวมทั้งกินนมแม่ตามปกติ เด็กที่กินนมผสมให้กินตามปกติ แต่ลดปริมาณลงครึ่งหนึ่งต่อมื้อ โดยให้กินสลับกับน้ำลายผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอสครึ่งหนึ่ง อาการเด็กจะค่อยๆ ดีขึ้นเป็นปกติได้ภายใน 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้น เช่น ถ่ายเหลวไม่หยุด เด็กซึมลง ปากแห้งมาก ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ให้พาไปพบแพทย์โดยเร็ว
นพ.รุ่งเรือง กล่าวอีกว่า ส่วนในกลุ่มประชาชนทั่วไปและผู้สูงอายุ ขอให้รับประทานอาหารตามปกติแต่ควรเป็นอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร และให้ดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอสแทนน้ำและดื่มให้หมดภายใน 1 วันหากอาการไม่ดีขึ้น ยังถ่ายบ่อย อาเจียน รับประทนอาหารไม่ได้ กระกายน้ำมากกว่าปกติ มีไข้สูง หรือถ่ายอุจจาระเป็นมูกปนเลือด ให้รีบไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือแพทย์

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เตือนผู้บริโภค สารเร่งเนื้อแดงอันตราย




ปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมบริโภคหมูเนื้อแดง ไม่มีมัน เนื่องจากกลัวโรคอ้วน หรือกลัวสารคลอเรสเตอรอลที่มีผลร้ายต่อสุขภาพ จึงทำให้ฟาร์มสุกรต้องผลิตเนื้อหมูที่มีลักษณะสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค คือ มีเนื้อแดงมาก และมีไขมันต่ำ
โดยปัจจุบันพบว่า มีการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดง หรือสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์ ในหมู วัว และสัตว์ปีก ได้แก่ เคลนบิวรอล และซาลบิวทามอล ซึ่งมีผลข้างเคียง คือทำให้ชั้นไขมันลดลง และเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้อ หรือเนื้อแดง เมื่อใช้สารในปริมาณมาก ผู้บริโภคซื้อเนื้อหมู หรือเนื้อโคที่มีสารเร่งนี้ จะทำให้มีการขยายตัวของหลอดลม หลอดเลือด มีผลทำให้กล้ามเนื้อสั่น กระตุ้นการเต้นของหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ กระวนกระวาย วิงเวียนและปวดศีรษะ จึงต้องระมัดระวังการใช้สารนี้ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ, โรคลมชัก, โรคเบาหวาน และสตรีมีครรภ์
จากข้อมูลของกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า อันตรายจากสารเร่งเนื้อแดงกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์ (Beta Agonists) โดยสารเบต้าอะโกนิสท์นั้นเป็นสารต้องห้ามใช้ผสมในอาหารสัตว์ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาหารสัตว์ ผู้ฝ่าฝืนมีความผิดและต้องโทษจำคุก 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท เนื่องจากเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ทำให้หัวใจทำงานหนัก เต้นผิดปกติ อันตรายสูงกับคนที่เป็นโรคหัวใจ ความดัน และเบาหวาน
อีกทั้งยังทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก มือสั่น ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ กระวนกระวายและคลื่นไส้ อาเจียนได้ ตลอดจนมีผลกับหญิงมีครรภ์ เพราะจะกระตุ้นให้เกิดเนื้องอกในระบบอวัยวะสืบพันธ์สตรีอีกด้วย โดยในประเทศฝรั่งเศส มีคนตายจากการบริโภคตับโคที่ปนเปื้อนสารเบต้าอะโกนิสท์ ชนิดบิวเทอรอล 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีการรายงานว่าสารในกลุ่มนี้ บางชนิดเป็นสารก่อให้เกิดเนื้องอกและมะเร็งด้วย
ในปัจจุบันยังมีการลักลอบใช้สารนี้ในอาหารหรือน้ำให้สุกรและโคเนื้อ เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อแดงและลดชั้นไขมันให้บางลง จึงเป็นที่สนใจของผู้บริโภคที่ไม่ทราบถึงอันตรายจากสารที่ตกค้างอยู่ในเนื้อที่ซื้อไปบริโภค เพราะถึงแม้จะทำให้สุกแล้วก็ไม่สามารถกำจัดสารให้หมดไปได้
นอกจากนี้ สารกลุ่มเบต้าอะโกนิสท์ ยังเป็นสารต้องห้ามของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของไทย คือ ประเทศสหภาพยุโรป (อียู) และประเทศอื่นๆ หากพบในผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกจะถูกระงับการนำเข้า สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและเสียชื่อเสียงของประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากฟาร์ม ผู้จำหน่ายสารดังกล่าว ตลอดจนผู้บริโภค ช่วยหาทางหยุดยั้งการจำหน่ายหรือใช้สารดังกล่าวในการเลี้ยงสัตว์และหน่วยงานของภาครัฐจะต้องดำเนินการในทุกด้านอย่างจริงจัง เข้มงวด และต่อเนื่อง เพื่อหยุดยั้งการใช้สารนี้ให้ผู้บริโภคปลอดภัยต่อไป
"สารกลุ่มนี้มีทั้งหมดไม่น้อยกว่า 20 ชนิด แต่ที่มีข้อมูลพบว่าใช้กันในไทยแน่นอนแล้ว 4 ชนิด คือ เคลนบูเทอรอล (Clenbuterol), ซัลบูทามอล (Salbutamol), แรคโตปามิน (Ractopamine) และซิลพาเทอรอล (Zilpaterl) และที่นิยมใช้มากที่สุดคือ Salbutamol และ Ractopamine
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดหลัง มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้กันมากขึ้น ลักษณะการนิยมใช้ผสมในอาหารสุกร ประมาณ 3-8 กรัมต่อกิโลกรัมอาหาร ส่วนในโคจะมีการใช้ในระดับปริมาณที่สูงถึง 20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมอาหาร นอกจากนี้ยังพบว่ามีการผสมในน้ำให้สัตว์กินอีกด้วย และจากการที่ตรวจตัวอย่างอาหารสัตว์และน้ำที่ให้สัตว์กิน พบว่าการใช้ในสุกรได้ลดลงมาก ส่วนในโคยังคงมีการใช้สารเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 50%"
การดำเนินการที่ผ่านมานั้น มีปัญหาและอุปสรรคมากมาย เนื่องจากมีการใช้สารกันมานานมาก ผู้จำหน่ายสารเข้าใจวิธีการหลบหลีกทีหนีทีไล่เป็นอย่างดี และเป็นเครือข่ายกับฟาร์ม อีกทั้งเคยชินกับการดำเนินการของรัฐ ทำให้มีผู้ฝ่าฝืนอยู่กลุ่มหนึ่ง จึงลำบากต่อการดำเนินการของรัฐยากยิ่งขึ้น เนื่องจากคนในพื้นที่รู้จักมักคุ้น เกรงใจ บางฟาร์มยังมีอิทธิพล และยังมีปัญหาเรื่องงบประมาณ การจัดซื้อยาชุดทดสอบสารที่ล่าช้าไม่สอดคล้องกับแผนงาน, ห้องแล็บตรวจสารยังคงมีผลวิเคราะห์ที่ยังขาดการยอมรับจากฟาร์ม
 ฉะนั้น ควรเพิ่มมาตรการแก้ปัญหาในเรื่องความร่วมมือบูรณการจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายปกครองในพื้นที่ที่ควรเกี่ยวข้องรับรู้ร่วมมือแก้ปัญหาด้วย และให้กลุ่มสมาคมต่างๆ ตลาด ผู้บริโภค เข้ามาร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ห้องแล็บส่วนภูมิภาคต้องก้าวหน้า มีเครื่องมือที่พร้อม ทันสมัยกว่าปัจจุบัน มีมาตรฐานใกล้เคียงกับ สตส. หรือหน่วยงานส่วนภูมิภาคของกระทรวงอื่นๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น
จากความเข้มงวดในการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ ทำให้มีการใช้สารเร่งเนื้อแดงของผู้เลี้ยงสุกรลดลง อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาการใช้สารเร่งเนื้อแดง จะต้องอาศัยความร่วมมือของเกษตรกรที่ต้องมีจิตสำนึกที่ดีต่อผู้บริโภค ไม่ใช้ยา หรือสารที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและผู้บริโภค
ต้องรู้จักเลือกซื้อเนื้อสุกรที่สะอาดปลอดภัย โดยให้เลือกซื้อเนื้อสุกรที่มีมันหนาบริเวณสันหลัง เมื่ออยู่ในลักษณะตัดขวาง จะมีมันแทรกระหว่างกล้ามเนื้อเห็นได้ชัดเจน เนื้อสุกรปกติเมื่อหั่นทิ้งไว้จะพบน้ำซึมออกมาบริเวณผิว แต่เนื้อที่มีสารเร่งเนื้อแดงจะมีลักษณะค่อนข้างแห้ง ส่วนของ 3 ชั้น ปกติจะมีเนื้อแดง 2 ส่วน ต่อมัน 1 ส่วน (33%) แต่เนื้อสุกรที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงจะมีปริมาณเนื้อแดงสูงถึง 3 ส่วน ต่อมัน 1 ส่วน (25%) และเนื้อจะมีสีแดงคล้ำกว่าปกติ
ควรเลือกซื้อเนื้อหมูที่มีแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ หรือมีป้ายรับรองจากหน่วยราชการ เช่น ป้ายทองอาหารปลอดภัย หรือตรารับรองของกรมปศุสัตว์ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้ได้เนื้อหมู หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ มาบริโภคได้อย่างปลอดภัย

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เตือนไข้มาลาเรียอาจกลับมา



กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนให้ระวังโรคไข้มาลาเรียเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงให้ป้องกัน เผยภาคใต้มีผู้ป่วยสูงสุด








นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง สถานการณ์โรคมาลาเรียในประเทศไทยว่าจากรายงานเฝ้าระวังโรคโดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 15 พฤศจิกายน56 พบมีผู้ป่วยโรคมาลาเรีย 13,022 ราย และเสียชีวิต 9 รายจาก 75 จังหวัด คิดเป็นอัตราป่วย 20.50 ต่อแสนประชากร และอัตราตาย 0.01 ต่อแสนประชากรผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรร้อยละ 41 รองลงมาคือ นักเรียนร้อยละ 23 และรับจ้างร้อยละ 17 ส่วน กลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ 15-24 ปี ร้อยละ 23 รองลงมา คืออายุ 25-34 ปี ร้อยละ18 และอายุ 35-44 ปี ร้อยละ 14 ตามลำดับ
ภาคที่มีผู้ป่วยสูงสุดคือภาคใต้ 3,940 ราย (อัตราป่วย 81.09 ต่อแสนประชากร) ภาคเหนือ 1,634 ราย(อัตราป่วย 26.74 ต่อแสนประชากร) ภาคกลาง 1,076 ราย (อัตราป่วย 7.80 ต่อแสนประชากร)ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 730 ราย (อัตราป่วย 4.91 ต่อแสนประชากร) เมื่อจำแนกเป็นรายจังหวัด พบว่า จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 5 อันดับแรก คือ ยะลา ระนอง ตาก แม่ฮ่องสอนและชุมพร ส่วนจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วย คือสิงห์บุรี และแพร่นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมการป้องกันควบคุมโรคไข้มาลาเรียอย่างเข้มแข็งด้วยการ 1. ค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ และสำรวจผู้ไปประกอบอาชีพจากต่างถิ่น 2. ขอความร่วมมือ อสม.แจ้งบอกกล่าวสถานที่เข้ารับบริการตรวจหาเชื้อไข้มาลาเรีย 3. แนะนำประชาชนให้นอนกางมุ้งและทายากันยุง ป้องกันการถูกยุงกัด 4. เฝ้าระวังผู้ป่วยต่อไปอีก 60 วัน หลังพบผู้ป่วยรายสุดท้าย 5. ฝึกอบรม "เรื่องการเจาะโลหิตหาเชื้อไข้มาลาเรีย" แก่อสม.และ 6. บุคลากรทางการแพทย์ให้ซักประวัติการเดินทางของผู้ป่วยที่มารับการรักษาด้วยอาการไข้หนาวสั่น เป็นต้นซึ่งการดำเนินมาตรการดังกล่าวได้ส่งผลให้การควบคุมการระบาดของโรคมาลาเรียทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"สำหรับวิธีป้องกันตนเองจากโรคมาลาเรียนั้น ง่ายๆ คือ ต้องไม่ให้ยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะนำโรคมาลาเรียกัด สำหรับผู้ที่อาศัยหรือผู้ที่เดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณที่เป็นภูเขาสูง ป่าทึบ และมีแหล่งน้ำลำธาร ซึ่งเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ของยุงก้นปล่อง อาจเสี่ยงเป็นโรคมาลาเรียได้
ควรเตรียมมุ้งหรือเต้นท์ชนิดที่มีตาข่ายกันยุงสำหรับกางนอนไปด้วย ก่อนจะออกไปทำงานหรือไปกรีดยางในสวนยางพาราควรทายากันยุงที่แขน ขา ใบหู หลังคอ ควรสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวสีอ่อนๆ เพราะการใส่เสื้อผ้าสีทึบจะดึงดูดความสนใจให้ยุงกัดได้มาก หลังกลับจากกรีดยางหรือทำงานในป่า หากมีอาการหนาวสั่น  มีไข้  ปวดศีรษะ ผิวหนังซีด อาเจียนเบื่ออาหาร หรือปวดศีรษะมาก อาจปวดลึกเข้าไปในกระบอกตา กระสับกระส่าย เพ้อ กระหายน้ำชีพจรเต้นเร็ว คลื่นไส้อาเจียน มีเหงื่อออกชุ่มตัว ให้รีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่า เพื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
โดยการตรวจเลือดหาเชื้อมาลาเรีย และได้รับการรักษาที่รวดเร็ว โรคนี้มียารักษาหายหากรักษาเร็วจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตได้ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจทำให้เชื้อไข้มาลาเรียดื้อยาและทำให้อาการของโรครุนแรงยิ่งขึ้น ประชาชนที่มีความสนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422"  อธิบดีฯ

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เผยรถเมล์เสี่ยงติดวัณโรค 30%

สำนักอนามัย กทม. เผยพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ และพนักงานเก็บสตางค์ รถเมล์เสี่ยงติดวัณโรคมากถึง 30% และมีโอกาสแพร่เชื้อโรคไปยังผู้โดยสาร



นางวันทนีย์  วัฒนะ  ผู้อำนวยการสำนักอนามัย กทม. เปิดเผยว่า จากสถิติพบว่า พนักงานขับรถโดยสารสาธารณะ และพนักงานเก็บสตางค์  เป็นกลุ่มที่มีภาวะติดเชื้อวัณโรคมากถึง 30% ซึ่งมีโอกาสแพร่เชื้อโรคไปยังผู้โดยสารมากที่สุด เนื่องจากต้องอยู่สภาวะในที่มีอากาศถ่ายเทไม่สะดวก เป็นเวลานาน เชื้อวัณโรคจึงสามารถแพร่กระจายไปวงกว้าง  เพราะเชื้อวัณโรคเป็นเชื้อโรคที่แพร่กระจายไปตามอากาศและลมหายใจ สำหรับบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ  เช่น  ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเอชไอวี (HIV) จึงตกเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อได้ง่าย 
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปคัดกรองโรคให้กับกลุ่มผู้ขับขี่รถสาธารณะเป็นประจำทุกปี  เพื่อตรวจหาภาวะโรคติดต่อ หากพบการติดเชื้อควรจะต้องหยุดงานทันที  เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค แต่หากไม่สามารถหยุดได้จะต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกัน คือผ้าปิดปากที่สามารถใช้ป้องกันได้
นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับเชื้อจะต้องเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี โดยในระยะแรกคือการรักษาอย่างเข้มงวด ผู้ที่ได้รับเชื้อโรคจะต้องปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ส่วนระยะ 4 เดือนต่อมาผู้ได้รับเชื้อจะต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงควรจะตรวจคัดกรองโรค โดยสามารถเข้ารับการตรวจได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุขในสังกัด กทม.ใกล้บ้านฟรี



















เน้นผักผลไม้ 5 สี ล้างผักไม่สะอาดเสี่ยงรับสารก่อมะเร็ง



กระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีการกินเจเพื่อให้มีสุขภาพดี โดยยึดหลัก 3 ประการ คือ สะอาด ถูกหลักโภชนาการ และอาหารปลอดภัย เน้นให้ผู้บริโภครับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกผักผลไม้ที่มีความหลากหลาย หรือให้ครบ 5 สี พร้อมทั้งให้ความสำคัญด้านความสะอาดล้างผักและผลไม้ทุกครั้งก่อนนำมารับประทานเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้างซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ย้ำผู้ประกอบการต้องปรุงอาหารให้ถูกหลักสุขาภิบาลเพื่อการสร้างสุขภาพที่ดี

 การกินเจเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนและไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคจึงขอให้ประชาชนและผู้ประกอบการยึดหลัก 3 ประการ คือ 
1) ความสะอาด ด้วยการดูแลความสะอาดตั้งแต่กระบวนการเตรียมวัตถุดิบ โดยเฉพาะการล้างผักและผลไม้เพื่อป้องกันสารเคมีและยาฆ่าแมลงตกค้างด้วยการลอกเปลือกด้านนอกออกล้างผ่านน้ำก๊อกที่ไหลนาน 2 นาที หรือแช่ในน้ำผสมเกลือ หรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู ทิ้งไว้นาน 10-15 นาที หรือแช่ในน้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 กะละมัง หรือน้ำประมาณ 4 ลิตร
จากนั้นนำมาผักและผลไม้มาล้างน้ำสะอาดอีก 2-3 ครั้ง เพื่อให้สารพิษที่ตกค้างออกให้หมดช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งโดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านม สำหรับผู้ประกอบการต้องปรุงอาหารให้สุก ไม่ใช้เขียงหรือมีดร่วมกันระหว่างอาหารสดและอาหารดิบ ไม่นำอาหารหรือสิ่งของมาแช่รวมกับน้ำแข็งสำหรับบริโภค ควรสวมถุงมือหรือใช้อุปกรณ์ในการหยิบจับอาหารทุกครั้ง ใส่ผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมผม รวมทั้งล้างมือก่อนปรุงอาหารและหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
2) ถูกหลักโภชนาการ คือ ปรุงอาหารด้วยการยำ ต้ม นึ่ง ลดอาหารประเภทผัด ทอด และอาหารที่มีรสหวานจัด เค็มจัด เลือกรับประทานผักและผลไม้หลากสีหรือให้ครบ 5 สี ได้แก่ สีขาว จากขิง เห็ด  กะกล่ำดอก ผักกาดขาว กล้วย ลูกแพร์ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดการเกิดโรคหัวใจและมะเร็ง มีประโยชน์ต่อระบบหมุนเวียนโลหิตในร่างกาย สีม่วง-น้ำเงิน จากดอกอัญชัน กะหล่ำปลีสีม่วง มะเชือม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว องุ่น ลูกหม่อน ลูกพรุน แอปเปิ้ลแดง แบล็คเบอรี่ บลูเบอรี่ ช่วยขจัดสารก่อมะเร็ง
สีเขียวและเขียวอมเหลือง จากตำลึง คะน้า บล็อกโคลี่ ชะพลู บัวบก ตำลึง ตัว ผักขม ปวยเล้ง หน่อไม้ฝรั่ง ถั่วลันเตากะหล่ำปลี สีเขียว อโวคาโดและแอปเปิ้ลเขียว มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ขจัดกลิ่นตัว เพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและฟัน บำรุงตับ และกระตุ้นระบบของการของเสียในร่างกาย สีเหลือง-ส้ม จากข้าวโพด มะม่วง ส้ม แคนตาลูป เสาวรส แตงโมเหลือง แครอท ฟักทอง มะละกอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงหัวใจ ลดระดับคอเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือด ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง เพิ่มระดับภูมิคุ้มกัน และสีแดง จากแตงโม แอปเปิ้ลแดง องุ่นแดง มะเขือเทศ ทับทิม พริกแดง กระเจี๊ยบ บีทรูท และแคนเบอรี่ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดปริมาณไขมันตัวร้ายในเลือด ยับยั้งหรือป้องกันการเกิดมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก งดบริโภคผักที่มีกลิ่นฉุน 5 ชนิด ได้แก่ หัวหอม กระเทียม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ
3) อาหารปลอดภัย คือ การเลือกซื้อวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรอง เช่น ตลาดสดของกรมอนามัย ร้านอาหารที่มีป้ายสัญลักษณ์ Clean Food Good Taste เครื่องปรุงรสที่มีสัญลักษณ์ อย.และมอก. กำกับทุกครั้ง

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ห้องน้ำ ก๊อกน้ำ ก้านชักโครก แหล่งเชื้อมะเร็งปากมดลูก




สำรวจพบพบเชื้อเอชพีวี หรือเชื้อมะเร็งปากมดลูกในห้องน้ำสาธารณะ ทั้งก้านกดชักโครก ก๊อกน้ำล้างมือ ที่รองนั่งโถส้วม เจอจากห้องน้ำในผับเยอะที่สุด ห้องน้ำหญิงในห้าง และ รร.กวดวิชา แพทย์เตือนโอกาสติดน้อย แค่ล้างมือให้สะอาดช่วยป้องกันได้
ศ.ดร.วสันต์ จันทรานิตย์ หัวหน้าหน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทย ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวในงานแถลงข่าว "เผยผลการตรวจพบไวรัสเอชพีวีในสถานที่สาธารณะ" จัดโดยราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย และหน่วยไวรัสวิทยา รพ.รามาฯ ว่า จากการศึกษาวิจัยในต่างประเทศพบว่าเชื้อเอชพีวีซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูกสามารถติดต่อทางการสัมผัส ซึ่งเราจะพบเชื้อนี้ในสิ่งแวดล้อมได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้ทางราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ และหน่วยไวรัสวิทยา รพ.รามาฯ จึงร่วมกันเก็บตัวอย่างจากสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะในสถานที่สาธารณะ โดยใช้สำลีปราศจากเชื้อชุบน้ำยาตรวจหาไวรัสเอชพีวี เช็ดถูบริเวณต่างๆ เช่น ราวบันไดเลื่อน ปุ่มกดลิฟต์ ลูกบิดประตูห้องน้ำ ก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือ ก้านกดชักโครก ที่รองนั่งโถส้วม เป็นต้น จำนวน 100 ตัวอย่าง จากห้างสรรพสินค้า 4 แห่ง โรงเรียนกวดวิชา 3 แห่ง สนามเด็กเล่น 2 แห่ง โรงพยาบาล 2 แห่ง สถานีบริการน้ำมัน 2 แห่ง สถานบันเทิง (ผับ) 3 แห่ง รถไฟฟ้า 3 ขบวน และรถประจำทาง 2 คัน
จากตัวอย่างที่พบเชื้อไวรัสเอชพีวี 4 ตัวอย่าง หรือคิดเป็น 4% เป็นสายพันธุ์ 6, 11, 16, 18 และอื่นๆ โดยพบเชื้อที่ก้านกดชักโครกห้องน้ำหญิงในโรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่งจากจำนวน 3 แห่งที่จัดเก็บตัวอย่าง ก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือห้องน้ำชายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งจากจำนวน 4 แห่งที่จัดเก็บ ที่รองนั่งโถส้วมในห้องน้ำหญิงจากผับแห่งหนึ่ง และที่รองนั่งโถส้วมในห้องน้ำชายจากผับอีกแห่งหนึ่ง จากจำนวน 3 แห่งที่จัดเก็บตัวอย่าง
ศ.ดร.วสันต์ กล่าวอีกว่า ผลการศึกษาพบว่าสถานที่ที่พบเชื้อเอชพีวีจะเป็นสถานที่เย็น ชื้น ไม่มีแสงแดดส่องเข้าถึง โดยตรวจพบบริเวณห้องน้ำทั้งหมด โดยเป็นสถานบันเทิงมากกว่าแห่งอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มคนที่เข้าไปในสถานบันเทิงที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ เป็นกลุ่มที่มีการติดต่อและแพร่เชื้อสูงสุด
เนื่องจากเวลาปัสสาวะแล้วมีการจับอวัยวะเพศของตนเอง ทำให้เชื้อที่มีอยู่ติดมือ เมื่อมาจับสิ่งของต่างๆ ต่อจึงทำให้ในห้องน้ำมีเชื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกังวลว่าการนั่งบนส้วมที่มีเชื้อเอชพีวีจะทำให้ติดเชื้อแล้วเป็นมะเร็งปากมดลูก เพราะเชื้อไม่สามารถเข้าถึงช่องคลอดได้ แต่กลัวเป็นหูดมากกว่า จึงไม่อยากให้ทุกคนตระหนกว่าเข้าห้องน้ำสาธารณะแล้วจะติดเชื้อเอชพีวี
ทั้งนี้ การป้องกันสามารถทำได้ด้วยการล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการเข้าห้องน้ำทุกครั้ง เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคที่อาจจะติดมาแบบไม่รู้ตัว

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

'กระบี่' ติดอันดับ 2 ไข้เลือดออกระบาด ล่าสุดตายแล้ว 1






จ.กระบี่ ติดอันดับ 2 ไข้เลือดออกระบาด ล่าสุดตายแล้ว 1 ราย เป็นสาวเกาะลันตา ขณะที่ สสจ.กระบี่ เผยป่วยสะสม 920 ราย พบมากในอำเภอเมืองอายุ 10-14 ปี
นายแพทย์ภูมินทร์ ศิลาพันธ์ รองนายแพทย์สาธารณะสุขจังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า สถานการณ์ไข้เลือดออกในจังหวัดกระบี่ในปีนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง มีจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา มีรายงานสถานการณ์ไข้เลือดออกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 56-20 พฤษภาคม 56 พบจำนวนผู้ป่วยสะสมจำนวนกว่า 920 ราย จากปีที่ผ่านมาในช่วงเดียวกันมีจำนวนผู้ป่วยสะสมจำนวน 822 ราย คิดเป็นอัตราผู้ป่วย 211.11 ต่อประชากร 1 แสนคน และอยู่อันดับที่ 2 ของประเทศ รองจากจังหวัดสงขลา โดยกลุ่มอายุที่พบสูงที่สุดคือ อายุระหว่าง 10-14 ปี อาชีพที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือ นักเรียน จำนวน 478 ราย รองลงมาคืออาชีพรับจ้างทั่วไป
รองนายแพทสาธารณสุข จังหวัดกระบี่ เปิดเผยอีกว่า สำหรับอำเภอที่พบผู้ป่วยมากที่สุดคือ อำเภอเมือง รองลงมาอำเภอคลองท่อม อำเภอเขาพนม อำเภอลำทับอำเภอเกาะลันตา ส่วนสาเหตุที่ในปีนี้มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมีสาเหตุมาจากสภาพอากาศใน พื้นที่โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคใต้ มีฝนตกบ่อย และมีน้ำท่วมขัง ทำให้ มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายมากขึ้น นอกจากนี้มีประชากรเดินทางเข้ามาในพื้นที่เพิ่มมากขึ้นจากต่างจังหวัด แรงงานต่างด้าว เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไข้เลือดออก
สำหรับมาตรการป้องกันก็เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำทุกตำบล มีความตื่นตัว และคัดกรองผู้ป่วยอย่างละเอียด เร่งรณรงค์ในพื้นที่เสี่ยงกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับไข้เลือดออกให้มากที่สุดหากสงสัยว่า บุตรหลานของท่านติดเชื้อไข้เลือดออกเช่นมีไข้ขึ้นสูง ปวดเมื่อย ให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไข้เลือดออกและรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที เพื่อจะได้รักษาถูกอาการไม่ควรหายากินเอง เพราะขณะนี้จำนวนผู้ป่วยในกระบี่มีจำนวนมากจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ล่าสุดมีรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออกเสียชีวิตแล้ว 1 ราย คือนางสาวปราณี กสิคุณ อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105 ม.6 ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา ซึ่งเข้ารักษาตัวที่ รพ.เกาะลันตา และถูกส่งตัวมาที่ รพ.กระบี่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา  

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

แพทย์แนะให้นมลูกช่วยลดเสี่ยงมะเร็งเต้านม






แพทย์ชี้ตัดเต้านมทิ้งลดโอกาสเสี่ยงมะเร็งเต้านมได้ แต่หากเกิดจากยีนส์ที่ผิดปกติมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ด้วย เผยหญิงไทยตายเพราะมะเร็งเต้านมเป็นอันดับ 3 โอกาสตรวจเจอระดับยีนส์ทำได้ยาก ยันขนาดเต้านมไม่เกี่ยวกับการเกิดโรค อึ้ง! กินฮอร์โมนแต่เด็กเพิ่มโอกาสเสี่ยง แนะออกกำลังกาย ให้ลูกดูดนมบ่อยๆ ช่วยลดอัตราเสี่ยงได้
นพ.ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีแองเจลินา โจลี นักแสดงสาวชื่อดังเข้ารับการผ่าตัดเอาเต้านมทั้ง 2 ออก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งเต้านม ว่า โรคมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ในสหรัฐอเมริกาพบว่ามีอัตราการเกิดมะเร็งประมาณร้อยละ 1-5 เกิดจากยีนส์ที่มีความผิดปกติซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือ บีอาร์ซีเอ 1 (BRCA1) หากตรวจพบยีนส์ผิดปกติประเภทนี้จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้ถึงร้อยละ 50-80 นอกจากนี้ จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่ด้วย ทั้งนี้ การตัดเต้านมทิ้งจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้ แต่ยังต้องติดตามต่อเนื่องเพราะยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งรังไข่ด้วย
นพ.ธีรวุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่า กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เกิดจากความผิดปกติของยีนส์อยู่ในสัดส่วนเท่าไร เนื่องจากเทคโนโลยีการตรวจหาความผิดปกติในระดับยีนส์ยังมีราคาสูงและสามารถทำได้เพียงไม่กี่ทีเท่านั้น แต่ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมจากยีนส์ จะสังเกตได้ว่าจะมีประวัติพี่น้องสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมทั้งสองข้าง หรือมีพี่น้องมากกว่าหนึ่งคนเป็นมะเร็ง หรือ เกิดมะเร็งเต้านมในผู้ชายในครอบครัวญาติพี่น้องสายตรง หากมีสัญญาณดังกล่าวควรจะหมั่นตรวจเช็กความผิดปกติ ซึ่งจะต้องใช้วิธีการตรวจแบบแมมโมแกรม ซึ่งมีความละเอียดสูง จึงจะสามารถตรวจหาสัญญาณความผิดปกติได้ ส่วนคนปกติทั่วไปที่ไม่มีสัญญาณความเสี่ยงการเกิดมะเร็งในครอบครัวจะแนะนำให้ตรวจหาความผิดปกติที่อายุประมาณ 40 ปี ซึ่งจะต่ำกว่าชาวตะวันตก
นพ.ธีรวุฒิ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์มะเร็งเต้านมในไทย มีผู้ป่วยปีละ 13,000 คน และเสียชีวิตปีละ 4,600 คน เฉลี่ยเสียชีวิต 12 คนต่อวัน เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 รองจากมะเร็งตับที่เป็นการเสียชีวิตอันดับ 1 มีอัตราการเสียชีวิตถึงร้อยละ 90 และมะเร็งปากมดลูกที่เป็นการเสียชีวิตอันดับ 2 มีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 50 ปรากฏการณ์ของโรคส่วนใหญ่จะพบในหญิงอายุ 40-45 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มอุบัติการณ์ของโรคอยู่ที่ 20 ต่อแสนประชากร ความเสี่ยงจะเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนเพศหญิง (เฮโตรเจน) มากเกินไป ไม่สมดุล การรับประทานฮอร์โมนมากเกิดไป การรับประทานยาคุมกำเนิดตั้งแต่เด็ก การที่มีประจำเดือนอายุน้อยกว่า 12 ปี และหมดก่อน 50 ปี ถือว่ามีภาวะเสี่ยง ส่วนสาเหตุจากพันธุกรรมในคนไทยถือว่าพบในต่ำกว่าประเทศตะวันตก
“ขนาดของเต้านมไม่ได้มีผลที่ทำให้เกิดโรค เพียงแต่ยากแก่การตรวจคัดกรอง โดยในต่างประเทศจะใช้การตรวจด้วยเครื่องเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ การป้องกันมะเร็งเต้านมสามารถทำได้โดย การตรวจคัดคลำเต้านม ออกกำลังกาย ลดความอ้วน หรืองดการรับประทานอาหารมันจัด หากเป็นหญิงตั้งครรภ์ ควรให้บุตรดื่มนมพบว่าสามารถช่วยอัตราการเสี่ยงเกิดมะเร็งเต้านมได้”

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

ไม่พบสัญญาณไข้หวัดนกในไทย




กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยเชื่อมั่นว่ายังควบคุมโรคไข้หวัดนกได้โดยใช้หลักการติดตามควบคุมดูแลตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือไบโอซิเคียวริตี้
นายยุคล  ลิ้มแหลมทอง  รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรและสหกรณ์  เปิดเผยว่า  การเตรียมการรับมือโรคไข้หวัดนก ให้แก่อุตสาหกรรมปศุสัตว์และสัตว์ปีกของไทย ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ใช้หลักการติดตามควบคุมดูแลโรคไข้หวัดนก ตามหลักความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือไบโอซิเคียวริตี้ (Bio Security) ขั้นสูงสุด ซึ่งเท่าที่เริ่มติดตามจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานการเกิดโรคและปัจจัยที่น่าเป็นห่วงว่า จะเกิดโรคไข้หวัดนกในไทยได้  อย่างไรก็ตามเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ของประเทศ ได้มอบหมายให้กรมปศุสัตว์สุ่มตรวจสอบเก็บตัวอย่างจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 รวมทั้งให้ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจุดเข้าออกชายแดนประเทศเพื่อนบ้านทุกจุดอีกครั้ง เพราะเป็นจุดสำคัญที่สุดในการป้องกันโรคไข้หวัดนกเข้ามาในประเทศไทย
ทั้งนี้หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกในโลกยังคงทรงตัว คือ พื้นที่การระบาดในจีนยังมีเพิ่มขึ้น และไทยยังควบคุมป้องกันโรคได้ จะทำให้ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกสัตว์ปีกหลักของโลก โดยมีคู่แข่งการส่งออกของไทยเพียงรายเดียว คือ บราซิล แต่ไทยยังได้เปรียบในฐานะ เป็นรายใหญ่ในตลาดสหภาพยุโรป(อียู) และญี่ปุ่น เนื่องจากคุณภาพสินค้าไทยดีกว่า จะทำให้คำสั่งซื้อเนื้อไก่หลั่งไหลมายังผู้ประกอบการไทย คาดว่าตัวเลขการส่งออกเนื้อไก่ไทยทั้งเนื้อไก่สด และไก่ปรุงสุก จะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จากปีที่ผ่านมาที่มียอดส่งออกรวม 600,000 ตัน

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

ระวังโรคอาหารเป็นพิษหน้าร้อน




นายแพทย์นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา ทำให้มีผู้ใช้บริการในสถานีขนส่งเป็นจำนวนมาก ประกอบกับอากาศร้อนทำให้อาหารปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์เน่าเสีย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคอาหารเป็นพิษ หรือโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันได้ง่าย
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ดำเนินการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารและน้ำดื่ม โดยสุ่มเก็บตัวอย่างที่จำหน่ายในสถานีขนส่งต่างๆ ได้แก่ สถานีขนส่งหมอชิต สถานีขนส่งสายใต้ สถานีขนส่งเอกมัย และสถานีรถไฟหัวลำโพงอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2556 ได้เก็บตัวอย่างอาหารพร้อมบริโภคจำนวน 64 ตัวอย่าง มีการปนเปื้อนเชื้ออีโคไล (E.coli) จำนวน 27 ตัวอย่างและพบเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ ได้แก่ เชื้อสแตฟฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) จำนวน 4 ตัวอย่าง เชื้อซัลโมเนลล่า (Salmonella spp.) จำนวน 2 ตัวอย่าง แต่ไม่พบเชื้ออหิวาห์ตกโรค
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวอีกว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังความปลอดภัยอาหารพร้อมบริโภคที่วางจำหน่ายตามสถานที่ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ายังมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ ซึ่งเชื้อเหล่านี้จะก่อให้เกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เป็นไข้ บางรายอาจเกิดอาการช็อกหมดสติและรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ การรักษาอาการเบื้องต้นทำได้โดยให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือโออาร์เอส โดยหลังดื่มแล้ว 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้นให้นำส่งโรงพยาบาลทันที อย่างไรก็ตามขอเตือนผู้บริโภคให้รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ อยู่เสมอ ใช้ช้อนกลางทุกครั้งและล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ในส่วนผู้ประกอบการควรอุ่นอาหารให้ร้อนอยู่เสมอ หรืออุ่นทุกๆ 2 ชั่วโมง และไม่หยิบจับอาหารโดยตรงด้วยมือเปล่า

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556




ขอแสดงความยินดี กับ อสม.นงนุช  บุญวิเศษ
ที่ไได้รับคัดเลือกเป็น อสม.ดีเด่นระดับชาติ ปี 2556  สาขาสุขภาพจิตชุมชน



วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพประกอบ sex ยิ่งคุยยิ่งเข้าใจ

“รักจริงต้องใส่ใจ...รักปลอดภัยต้องป้องกัน”





ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรทราบ
1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้น แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น
2. อัตราการติดเชื้อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบมากขึ้น เนื่องจากวัยรุ่นมีค่านิยมที่จะอยู่ก่อนแต่งงาน หรือนิยมมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังไม่มาก และที่สำคัญมีการหย่าร้างสูง ทำให้คนมีสามีหรือภรรยาหลายคน ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น
3. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยมากมักจะไม่เกิดอาการ ดังนั้นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อโดยที่ไม่รู้ตัว แพทย์บางประเทศจึงแนะนำให้มีการตรวจค้นหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับคนที่สำส่อน
4.โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขอย่างมาก เช่น 
- โรคอาจจะลุกลามไปยังมดลูกหรือท่อรังไข่ทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง Pelvic inflammatory disease ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการเป็นหมันหรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง เช่น การติดเชื้อ human papillomavirus infection (HPV) ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์ได้ เป็นต้น

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรค
- การมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือหญิงบริการใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การมีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การมีเพศสัมพันธ์กับคู่คนใหม่ใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา
- การที่สามีหรือภรรยามีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การที่คู่ครองอยู่กันคนละที่



การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือการไม่มีเพศสัมพันธ์ หากยังมีเพศสัมพันธ์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
- ไม่เปลี่ยนคู่นอน ให้มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
- ใส่ถุงยางให้ถูกต้องหากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
- อย่ามีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยเพราะจากสถิติหากมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยจะมีโอกาสเสี่ยงติดโรคสูง
- ให้ตรวจประจำปีเพื่อหาเชื้อโรคแม้ว่าจะไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการแต่งงานใหม่
- เรียนรู้อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- อย่าร่วมเพศขณะมีประจำเดือนเพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อได้ง่าย
- อย่ามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย
- อย่าสวนล้างช่องคลอดเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย


วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ควรจะประกาศให้เทศกาลตรุษจีนเป็นวันหยุด





ในปัจจุบันประเทศในกลุ่มอาเซียนได้ประกาศให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดราชการหมดแล้ว เหลือเพียงประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเท่านั้น ที่วันตรุษจีนยังไม่ได้เป็นวันหยุด
นายยุทธชัย สุนทรรัตนเวช นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (สทน.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2556 นี้ กลุ่มประเทศในอาเซียนเกือบทั้งหมด ได้ประกาศให้เป็นวันหยุดเพื่อการท่องเที่ยว ทั้งนี้สมาคมฯ มองว่า หากประเทศไทยประกาศให้เป็นวันหยุดราชการได้ จะมีการสร้างมูลค่าทางการท่องเที่ยวได้กว่า 10,000 ล้านบาทต่อวัน
ซึ่งในปัจจุบันประเทศในกลุ่มอาเซียนได้ประกาศให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดราชการหมดแล้ว เหลือเพียงประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเท่านั้น ที่วันตรุษจีนยังไม่ได้เป็นวันหยุด จะมีก็แต่เพียงทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ได้มีมติให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดราชการใน  4 จังหวัดภาคใต้ เพื่อความเท่าเทียมเท่านั้น เพราะเห็นว่าวันตรุษไทยและวันตรุษอิสลาม ต่างก็มีวันหยุดเป็นของตัวเอง
“เทศกาลตรุษจีน จะมีวันจ่าย และวันเที่ยว อยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ประกาศให้เป็นวันหยุดกันหมดแล้ว เหลือแค่ไทยกับกัมพูชาเท่านั้น และจากที่ประชุมเรื่องการกระตุ้นรายได้ทางการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท ทางภาคเอกชนก็ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วว่าให้เพิ่มวันหยุด เพราะอีก 2 ปีเท่านั้น ไทยก็จะเข้าสู่ประชาคมเสรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อย่างเต็มตัวแล้ว ดังนั้นไทยก็ควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย อีกทั้งยังเป็นการให้ความสำคัญกับจีนที่ถือเป็นพี่ใหญ่ในเอเชีย และมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากเป็นอันดับ 1” นายยุทธชัย กล่าว
ทั้งนี้ในช่วงวันตรุษจีน ตลาดหุ้นหรือตลาดการซื้อขายต่างๆในหลายๆประเทศก็ทำการปิดตลาด หยุดซื้อขาย ไม่มีการทำธุรกรรมต่างๆ คนส่วนใหญ่ก็ดำเนินกิจการอะไรไม่ได้มากนัก หากประเทศไทยจะเพิ่มให้เป็นวันหยุดราชการเหมือนประเทศอื่นๆ ก็จะเกิดการสะพัดของรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

วัยรุ่นไทยกับการใช้ถุงยางอนามัย



จากการสำรวจอนามัยการเจริญพันธุ์ พ.ศ. 2552 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ แม้จะพบว่าวัยรุ่นไทยที่มีอายุ 15-24 ปี ร้อยละ 31.4 เคยใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่กลับมีแนวโน้มลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
กล่าวคือวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี เคยใช้ถุงยางอนามัย ร้อยละ 42.0 ลดลงเหลือร้อยละ 28.4 ในกลุ่มอายุ 20-24 ปี จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะการที่เยาวชนเหล่านี้เริ่มมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยโดยไม่ป้องกัน จะส่งผลให้เกิดปัญหา “แม่วัยรุ่น” ตามมาได้



    การที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกระแสวัฒนธรรมตะวันตก สังคมไทยควรที่จะใส่ใจอบรมดูแลบุตรหลานกันให้ใกล้ชิด เริ่มจากวาเลนไทน์นี้กันเลย มาช่วยกันเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อวันวาเลนไทน์เสียใหม่ โดยชี้แนะแนวทางให้วัยรุ่นหันมาแสดงความรักต่อกันอย่างถูกวิธีและเหมาะสมกับวัย หรืออย่างน้อยก็มาร่วมรณรงค์ให้คู่รักแสดงความรักโดยการถือเอาวันนี้เป็นวันของการเริ่มต้นแห่งการสร้าง “ครอบครัว” ที่อบอุ่นกันดีกว่า

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556







ศูนย์ทดสอบนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เตือนผู้บริโภคในการซื้อ "กาแฟลดน้ำหนัก" หลังจากประเทศเยอรมันตรวจพบ "สารไซบูทรามีน" ในกาแฟลดน้ำหนักจากประเทศไทย
จากการเผยแพร่ข่าวประเทศเยอรมันตรวจพบ "สารไซบูทรามีน" ในกาแฟลดน้ำหนักจากประเทศไทยนั้น ศูนย์ทดสอบนิตยสารฉลาดซื้อ จึงขอเตือนผู้บริโภคในไทยให้ระมัดระวังในการเลือกซื้อกาแฟลดน้ำหนักด้วย เนื่องจากเสี่ยงต่อสารต้องห้าม
ซึ่งจากผลการทดสอบกาแฟลดน้ำหนักที่เผยแพร่ลงในนิตยสารฉลาดซื้อประจำเดือนมีนาคม 2555 ฉบับที่ 133 กาแฟลดน้ำหนัก ได้จริงหรือ!! รายงานถึงผลการศึกษาเรื่องนี้ว่า กาแฟที่ลดน้ำหนักได้นั้นคือ กาแฟที่มีส่วนผสมของยาลดน้ำหนักซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในอาหารทุกประเภท
ก่อนหน้านี้ สารไซบูทรามีนเป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้กับผู้ป่วยโรคอ้วน (คือหมายถึง คนที่ป่วยจริงๆ ไม่ใช่คนที่คิดว่าตัวเองอ้วนหุ่นไม่ดีแล้วอยากจะลดน้ำหนัก) แต่เพราะความรุนแรงของสารตัวนี้มีผลถึงขั้นทำให้หัวใจหยุดทำงาน และการที่มีผู้ไม่หวังดีนำสารไซบูทรามีนไปใส่ในอาหารเสริมแล้วอ้างสรรพคุณว่า ดื่มแล้วช่วยให้น้ำหนักลดซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ทำให้ อย. ต้องตัดสินใจประกาศยกเลิกตำรับยาชนิดนี้ แต่ก็ยังมีคนนำสารไซบูทรามีนมาใส่ในผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าช่วยลดความอ้วน ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงกาแฟด้วย 
อย่างที่ อย. เคยตรวจพบในกาแฟสำเร็จรูปนำเข้าจากจีนยี่ห้อหนึ่ง เมื่อช่วงปลายปี พ.ศ.2554 ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นก็ควรหลีกเลี่ยงทั้งการดื่มกาแฟและผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่า ดื่มแล้วช่วยทำให้น้ำหนักลดทุกชนิดโดยเฉพาะสินค้าที่ไม่มีเลขมาตรฐานอาหารของ อย. เพราะเราอาจกำลังเสี่ยงอันตรายจากสารไซบูทรามีนโดยไม่รู้ตัว 
ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ ขอเตือนผู้บริโภคที่จะซื้อกาแฟลดน้ำหนัก ตามคำกล่าวอ้างสรรพคุณลดน้ำหนักได้รวดเร็วเห็นผลทันใจ อาจทำให้หัวใจหยุดทำงานได้อย่างเฉียบพลัน ดังนั้น หากผู้บริโภคพบเห็นหรือไม่ แน่ใจว่ากาแฟลดน้ำหนักที่ผู้บริโภคจะซื้อหามาทานนั้นจะมีสารไซบูทรามีนหรือไม่ ให้ผู้บริโภคแจ้งไปยัง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทดสอบนิตยสารฉลาดซื้อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

บทความที่ได้รับความนิยม