วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สปสช.แนะปีใหม่ป่วยฉุกเฉินรักษาได้ทุกโรงพยาบาล





                   สำหรับประเภทการบริการนั้นแบ่งเป็นเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกจำนวน 1,748 รายหรือร้อยละ 13.6 เข้ารับบริการผู้ป่วยในมีจำนวน 11,000 ราย หรือร้อยละ 85.6 โดยแยกเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนมีจำนวน 8,157 รายหรือร้อยละ 63.5 ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติจำนวน 4,665 รายหรือร้อยละ 36.3 โดยอาการหรือโรคที่เข้ารับบริการส่วนใหญ่ คือ หัวใจล้มเหลว หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ติดเชื้อในกระแสเลือด หัวใจหยุดเต้น มีเลือดออกในสมอง เป็นต้น ขณะที่พื้นที่ที่ให้บริการสูงสุด คือ กรุงเทพมหานคร 5,451 ราย หรือร้อยละ 42.4 โดยที่สปสช.ทำหน้าที่เป็นหน่วยชำระเงินกลางแทน 3 กองทุน จ่ายเงินชดเชยแล้วจำนวน 10,352 ราย เป็นเงิน 205,404,774 บาท ที่เหลืออยู่ระหว่างการดำเนินการ
 “ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวปีใหม่ ซึ่งมีการเดินทางท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก เมื่อประสบเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตสามารถเข้ารักษาได้ทุกรพ.ที่อยู่ใกล้ โดยแต่ละรพ.ที่ให้การรักษาให้เบิกจ่ายมายังสปสช. ให้ผู้ป่วยฉุกเฉินเป็นศูนย์กลาง ได้รับบริการเพื่อช่วยชีวิตและลดความพิการ โดยไม่ต้องถามสิทธิ์ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้เน้นในกลุ่มที่ผู้ป่วยวิกฤติ คือผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติและเร่งด่วน เน้นบริการฉุกเฉินที่รพ.เอกชนนอกระบบ 3 กองทุนสุขภาพ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน สปสช.1330 หรือ สายด่วน 1669 ได้ทั่วประเทศ”

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาหารในโรงเรียนตกมาตรฐาน ทำเด็กไทยไม่ทันเพื่อนบ้าน

นักวิชาการเรียกร้องให้ทบทวนยกเครื่องใหม่นโยบายอาหารในโรงเรียน ยันงบประมาณ 13 บาทยังไม่พอซื้อวัตถุดิบ







ด้าน อาจารย์อุไร อิศรางกูร ณ อยุธยา อาจารย์จากโรงเรียนสวนส้มจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า เป็นการยากที่จะให้โรงเรียนจัดอาหารตามมาตรฐานได้ แม้ว่าจะพยายามบริหารจัดการอย่างดีที่สุดแล้ว แต่งบประมาณ 13 บาทต่อวันที่ได้รับนั้นไม่เหมาะสมกับความเป็นจริงในปัจจุบัน โรงเรียนไม่สามารถจัดให้เด็กได้ทานอาหารที่มีคุณภาพได้แค่ค่าวัตถุดิบก็ยังไม่พอ แต่ทางโรงเรียนยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนค่าแรงแม่ครัว ค่าก๊าซหุงต้ม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ และหากจะให้มีแม่ครัวที่มีคุณภาพมีความรู้ทางโภชนาการพอก็คงต้องมีการลงทุนมากกว่านี้
          น.พ. ธีรพล โตพันธานนท์ รองอธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่ากรมอนามัยพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านวิชาการ ผ่านทางสื่อนวัตกรรมของกรม การอบรมเพื่อให้บุคลกรที่เกี่ยวข้องมีความรู้และมีการประเมินพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งการบูรณาการความรู้ด้านโภชนาการในหลักสูตรการเรียนการสอนและการจัดอาหารเสริมที่มีความจำเป็นแก่เด็กกลุ่มเสี่ยงเช่น ยาเสริมธาตุเหล็ก โดยมีเป้าหมายให้โรงเรียนสามารถจัดอาหารกลางวันที่มีคุณภาพแก่เด็กทุกคน และมีการควบคุมอาหารว่าง อาหารที่ไม่มีประโยชน์ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน
           นายสง่า ดามาพงศ์ เครือข่ายโภชนาการสมวัย เผยว่า การพัฒนาระบบการจัดอาหารในโรงเรียนของประเทศไทยถือเป็นความท้าทายของสังคมไทย ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เฉพาะภาคการศึกษาและสาธารณสุขเท่านั้น ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้มีความความมุ่งมั่นร่วมกันในการผลักดันให้มีการยกเครื่องระบบอาหารภายในโรงเรียน ทั้งระบบทรัพยากร งบประมาณ และ การบริหารจัดการ เพื่อส่งเสริมให้เด็กไทยมีพัฒนาการที่สมวัยและเป็นทรัพยากรที่สำคัญในอนาคต

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

มท.1 ร้องผู้ว่าทั่วประเทศเข้มจัดลอยกระทงต้องอยู่ในกรอบของพ.ร.บ.คุมเหล้า




มท.1เอาจริง!!! สั่งผู้ว่าทั่วประเทศเข้มจัดลอยกระทงต้องอยู่ในกรอบของพ.ร.บ.คุมเหล้า ด้านสคล.หวั่นเจ้าภาพไม่สนปล่อยขาย-ดื่มท้าทายกฎหมายเกลื่อน ขณะที่เครือข่ายเยาวชนฯ ชี้ ชุมชนรอบพื้นที่จัดงานลอยกระทง กว่า84% อยากเห็นงานปลอดเหล้า เชื่อไร้ทะเลาะวิวาท-ลวนลาม
วันที่ 14 พ.ย.55 ที่กระทรวงมหาดไทย เวลา 10.30 น. ภก.สงกรานต์  ภาคโชคดี  ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) พร้อมด้วย นักศึกษาจากเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ กว่า 30 คน เข้าพบ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย  เพื่อแสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่งใหม่ และมีข้อเสนอต่อกระทรวงมหาดไทย ดังนี้ 1. กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ  ในฐานะ ประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด  เร่งรัดบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยเฉพาะห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี รวมถึงพื้นที่ห้ามขายห้ามดื่ม อาทิ สถานที่ราชการ  สถานศึกษา  สวนสาธารณะ  วัด  ซึ่งมักจะมีการจัดงานกาชาด  ลอยกระทง สงกรานต์หรือปีใหม่  และควรนำเรื่องประสิทธิภาพในการควบคุมและลดปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวประเมินผลงานของจังหวัดด้วย
2. ขอให้ผู้ว่าฯทุกจังหวัดดำเนินการให้งานบุญประเพณีอาทิ งานศพ  งานบวช  งานบุญอื่นๆ เป็นงานปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  ตามที่มีบางจังหวัดทำสำเร็จมาแล้ว เช่น ศรีสะเกษ  มหาสารคาม และน่าน เป็นต้น  เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้เกือบครึ่ง  และถ้ารวบรวมตัวเลขที่ประหยัดได้ทุกจังหวัดก็จะเป็นผลงานของมหาดไทย  ในการลดรายจ่ายให้ประชาชนตามนโยบายรัฐบาล 3. มอบหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานในสังกัด เร่งประชาสัมพันธ์และรณรงค์กฎหมายใหม่ 3 ฉบับ ได้แก่ ห้ามดื่มสุราบนรถ ห้ามขายห้ามดื่มในพื้นที่ประกอบกิจการโรงงาน และห้ามขายห้ามดื่มในรัฐวิสาหกิจ และ4. เข้มงวดสถานบริการ โดยเฉพาะร้านเหล้า ผับ บาร์ที่ตั้งอยู่รอบสถานศึกษาไม่ให้มีการทำผิดกฎหมาย  ห้ามเด็กเข้าใช้บริการ เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนและลดพื้นที่เสี่ยง


วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ชู 6 ผักสมุนไพร ช่วยลดเบาหวาน





ชูผักสมุนไพรไทย 6 ชนิด ได้แก่ ตำลึง มะระขี้นก วุ้นว่านหางจระเข้ กะเพรา ใบหม่อน และใบบัวบก มีสรรพคุณลดน้ำตาลในเลือดช่วยผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ดี
ผักพื้นบ้านและสมุนไพรไทยอย่างน้อย 5 ชนิดที่ช่วยในการลดน้ำตาลในเลือด ได้แก่ 1.ตำลึง โดยใช้เถาแก่ๆประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ เพียงแต่จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมว่าการรับประทานในรูปแบบของแกงจืดมีผลในการลดสาระสำคัญในตำลึงที่ช่วยในการลดน้ำตาลในเลือดหรือไม่ 2.มะระขี้นก วิธีการใช้ หั่นเนื้อมะระตากแห้งชงน้ำดื่ม หรือรับประทานผลสดครั้งละ 6-15 กรัม หรือคั้นน้ำจากผลสด 1 ผลแล้วดื่ม 3.วุ้นว่างหางจระเข้ ใช้โดยวุ้นว่านหางจระเข้หั่นสดประมาณ 1 ช้อนโต๊ะมาปั่นแล้วรับประทานวันละ 2 ครั้ง แต่นักวิจัยระบุว่าสาระสำคัญไม่คงตัว ในการใช้เองที่บ้านอาจต้องใช้แบบหั่นสด 4.กะเพรา นำใบกะเพราตากแห้ง 2-5 กรัมละลายน้ำแล้วดื่ม และ 5.ใบหม่อน มีสาระสำคัญในการลดน้ำตาลในเลือด โดยสารชนิดนี้จะออกมาได้ดีเมื่อนำไปชงแบบชา ทิ้งไว้ 3-5 นาที ซึ่งสารชนิดนี้ช่วยยับยั้งเอนไซม์ย่อยน้ำตาล การดูดซึมกลูโคสลด ระดับน้ำตาลในร่างกายก็จะลดลงด้วย
“สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลและหายช้ากว่าคนปกติทั่วไป มีการวิจัยพบว่า บัวบกสามารถเร่งการหายของแผลได้เร็วขึ้น โดยปั่นน้ำบัวบกเข้มข้นดื่มต่างน้ำ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่กินสมุนไพรในการช่วยลดน้ำตาลในเลือด ควรแจ้งให้แพทย์แผนปัจจุบันที่ทำการรักษาด้วย เนื่องจากบางครั้งแพทย์อาจจะจัดยาให้ในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว เมื่อรับประทานผักหรือสมุนไพรควบคู่ด้วยอาจทำให้น้ำตาลลดมากเกินไป”



วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กินเจ...สุขภาพดีเสริมภูมิคุ้มกั






                                      


ไม่ใช่แค่ช่วง "กินเจ" แต่การบริโภคอาหารธรรมชาติ หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ ดูจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมของผู้คนยุคนี้
อาจารย์ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่าการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและใช้โปรตีนจากเห็ดและถั่วชนิดต่างๆแทน จะช่วยให้กระเพาะอาหารได้พักจากการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และการบริโภคผัก ผลไม้เพิ่มขึ้นยังช่วยให้ร่างกายได้รับเกลือแร่และวิตามินที่นำไปช่วยเสริมสร้างกระบวนการทำงานต่างๆของร่างกายให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อีกทั้งยังให้สารต้านอนุมูลอิสระและสารพฤกษเคมีที่ช่วยในการเพิ่มภูมิต้านทาน ตลอดจนลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอื่นๆ อีกด้วย
แต่ทั้งนี้ต้องรู้จักเลือกและผสมผสานวัตถุดิบในการประกอบอาหารให้เหมาะสม เพื่อจะได้รับสารอาหารที่หลากหลายและสมดุล อย่างเช่น ผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืชจำพวก ข้าว ถั่วต่างๆ งา ล้วนแล้วแต่ให้คุณค่าสารอาหารที่ต่างกันออกไป
ส่วนในเรื่องที่มีบางคนสงสัยว่า การกินเจให้ผลดีต่อสุขภาพจริงไหม และจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารหรือไม่นั้น
อันที่จริงอาหารเจซึ่งเต็มไปด้วยผักผลไม้และธัญพืช มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ สารพฤกษเคมี และใยอาหาร ฯลฯ
ตัวอย่างผลไม้ที่มีฤทธิ์ของการต้านอนุมูลอิสระสูงสุด ได้แก่ พรุน และบิลเบอรี่ ที่มีสารแอนโธไซยานิน ซึ่งอยู่ในกลุ่มของสารฟลาโวนอยด์ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตา มีใยอาหารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านม โดยใยอาหารชนิดละลายน้ำช่วยลดคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาล ส่วนชนิดไม่ละลายน้ำช่วยป้องกันท้องผูกและมะเร็งในลำไส้
ผักผลไม้ส่วนใหญ่เป็นแหล่งใยอาหารทั้งสองชนิดโดยเฉพาะใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ แต่ใยอาหารที่ละลายน้ำจะมีน้อยกว่ายกเว้นผักผลไม้บางชนิดที่มีใยอาหารที่ละลายน้ำสูงได้แก่ พรุน ส้ม กล้วย แอปเปิล มะเขือยาว ฝักกระเจี๊ยบ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้ขาดสารอาหารบางชนิด ชาวเจควรเลือกรับประทานอาหารเจอย่างถูกวิธี สารอาหารที่ต้องเน้นเป็นพิเศษนอกเหนือจากโปรตีนก็คืออาหารที่มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินบี 2 หรือ ไรโบเฟลวิน วิตามินบี 12 วิตามินดี และสังกะสี เพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ
ที่สำคัญควรดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะอาหารที่มีกากใยสูงต้องการน้ำในการทำงานหากดื่มน้ำไม่พออาจทำให้เกิดอาการท้องอืด มีแก๊ส ปวดท้องได้
จะเห็นได้ว่าการกินเจอย่างถูกหลักนั้น ทำให้อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งสารเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายที่จะรับมือกับสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงเสมอ และยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคได้อีกด้วย


วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เตรียมพร้อมรับมือ "หวัดนก" สายพันธุ์ใหม่ จากเวียดนาม



การระบาดของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ในประเทศเวียดนาม เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวกลายพันธุ์จากหวัดนกสายพันธุ์ "H5N1" ซึ่งระบาดทั่วประเทศเมื่อปีที่แล้ว และทำให้ทางการเวียดนามต้องฆ่าสัตว์ปีกในพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยหวัดนกสายพันธุ์นี้กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับรัฐบาลเวียดนามในขณะนี้




ตั้งแต่ต้นปีสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศเวียดนามมีมากกว่า 40 ครั้ง ทำลายสัตว์ปีกไปกว่า 1.8 แสนตัว และจากรายงานของกรมสุขภาพสัตว์ กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทของเวียดนาม พบว่า สายพันธุ์ของเชื้อไข้หวัดนก H5N1 มีการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิด การระบาดที่รุนแรงขึ้นและเป็นไปได้ว่าเชื้อโรคดังกล่าวได้แพร่ระบาดมาจากประเทศจีนโดยมีรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2555 เกิดการระบาดของเชื้อไข้หวัดนกชนิด H5N1 ขึ้น 1 จุด ตำบล Hop Hoa เมือง Hoa Binh นอกจากนี้เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 ยังมีรายงานการระบาดที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย
นายทฤษดี ชาวเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ความเสี่ยงของโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในเวียดนามอาจมีโอกาสแพร่ระบาดมายังประเทศไทยได้ทางนกอพยพ หรือนกธรรมชาติที่บินเข้ามาสู่ประเทศไทย และการลักลอบนำสัตว์ปีกเข้ามาตามบริเวณแนวชายแดนผ่านทางประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น กรมปศุสัตว์จึงได้ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชในการให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและเก็บตัวอย่างอุจจาระและซากของนกอพยก และนกธรรมชาติในแหล่งที่นกอาศัยอยู่ทั่วประเทศ หากพบว่ามีนกตายผิดปกติหรือพบเชื้อโรคไข้หวัดนกจะเข้าควบคุมโรคในพื้นที่ทันที และได้แจ้งให้ทุกจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านมีการเฝ้าระวังโรคอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งให้พ่นยาฆ่าเชื้อในพื้นที่เสี่ยงบริเวณชายแดนและแหล่งที่มีนกอพยพ นกธรรมชาติอาศัยอยู่ พร้อมทั้งสั่งการให้ด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่านกักสัตว์ตามแนวชายแดนทุกด่านร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง ทหาร ตำรวจ ศุลกากร เข้มงวดตรวจสอบบุคคลเข้าออกต้องไม่มีการนำสัตว์ปีกเข้ามาในประเทศ พร้อมทั้งพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคยานพาหนะเข้า-ออก ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ รถเข็น ตลอดจนบุคคลที่เดินเท้าเข้ามา หากพบการกระทำผิดจะจับกุมดำเนินคดีและทำลายสัตว์ปีกหรือซากสัตว์ปีกทันที

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

WHO เตือนทั่วโลกระวังไวรัสตัวใหม่คล้ายโรคซาร์ส

องค์การอนามัยโลก ประกาศเตือนทั่วโลกให้ระวังไวรัสตัวใหม่คล้ายโรคซาร์ส หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงระบาด

WHO เตือนทั่วโลกระวังไวรัสตัวใหม่คล้ายโรคซาร์ส



 องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ประกาศเตือนประชาชนทั่วโลกให้ระวังไวรัสตัวใหม่มีฤทธิ์คล้ายโรคซาร์ส หรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ซึ่งทำให้ชายชาวกาตาร์ล้มป่วยและยังต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลที่กรุงลอนดอน ขณะเดียวกันมีผู้ป่วยอีก 1 รายเสียชีวิตแล้วที่ซาอุดีอาระเบียเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
องค์การอนามัยโลกรายงานว่า ชายวัย 49 ปี ถูกนำตัวเข้าห้องไอซียูของโรงพยาบาลในกรุงโดฮา ของกาตาร์ เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากมีอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและไตวาย จากนั้นจึงถูกส่งตัวมายังประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ส่วนผู้ป่วยอีกรายเสียชีวิตในช่วงต้นปีนี้ที่ซาอุดีอาระเบีย ด้วยเชื้อไวรัส แต่ทางการซาอุฯ กำลังตรวจสอบอยู่ว่ามีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เสียชีวิตด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกยืนยันว่า โรคดังกล่าวมาจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในคนและสัตว์ แต่ไม่ใช่โรคซาร์ส ซึ่งเคยระบาดหนักในประเทศจีนเมื่อปี 2546 ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 800 คนทั่วโลก โฆษกองค์การอนามัยโลก แถลงว่า ไวรัสตัวนี้เป็นไวรัสตัวใหม่ ยังไม่เคยพบผู้ป่วยลักษณะนี้มาก่อน และยังไม่ทราบว่าติดต่อได้อย่างไร

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

ไข้คอตีบระบาดหนักอีสาน

ไข้คอตีบระบาดหนักอีสาน



        สำหรับสถานการณ์การระบาดล่าสุด มีความรุนแรงใน 3 จังหวัด ได้แก่ จ.เลย เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตแล้ว แต่ยังไม่มีการรายงานตัวเลขอย่างเป็นทางการ โดย คร.คาดการณ์เส้นทางการระบาดของโรคมาจากชายแดนไทย-ลาว บริเวณ จ.เลย
   ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อคือ ผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (ทั้งเด็กและผู้ใหญ่) รวมทั้งผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแออัด ขาดสุขอนามัย และในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
   เชื้อจะอาศัยอยู่ในโพรงจมูก โพรงหลังจมูก ลำคอ แต่อาจจะพบได้ในผิวหนัง นอกจากนี้เชื้อมีโอกาสจะอยู่ในดินและแหล่งน้ำธรรมชาติได้ โดยโรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายและระบาดได้รวดเร็ว จากผู้ที่คลุกคลีกับผู้ป่วย การสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย ละอองหายใจ การไอจาม
   อาการพบคือ มีไข้แต่ไม่เกิน 39 องศาเซลเซียส รู้สึกหนาวสั่น อ่อนเพลีย เจ็บคอมาก หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ จากนั้นเสียงจะแหบลงเรื่อยๆ น้ำมูกอาจมีเลือดปน และอาจมีแผลทางผิวหนัง การรักษาจะให้ยาต้านสารพิษ ยาปฏิชีวนะ และการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ยังมีการรักษาประคับประคองตามอาการ



วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ขอเชิญผู้รับผิดชอบงาน SRRT เข้าร่วมปรึกษาหารือในการควบคุมโรคมือเท้าปาก


ขอเชิญผู้รับผิดชอบงาน SRRT  เข้าร่วมปรึกษาหารือในการควบคุมโรคมือเท้าปาก  ในวันที่  ๓๐  สิงหาคม ๒๕๕๕  เวลา ๑๓.๐๐ น. เป็นต้นไป ณ สถานีอนามัยเชียงหวาง อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี
                 จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
                                                  ขอแสดงความนับถือ 
                                                 นางสาวสิริญา   ไผ่ป้อง
                                            นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อึ้ง! คนกรุงรู้จักผัก 8 ชนิด เหตุบริโภคน้อยลง

เทศกาลกินเปลี่ยนโลก



วันนี้ (4 ส.ค.) ที่สวนสันติชัยปราการ รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์สื่อสารสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดงาน “เทศกาลกินเปลี่ยนโลก ครั้งที่ 1” Taste of food ซึ่งจัดโดย มูลนิธิชีววิถี (BioThai) แผนงานความมั่นคงด้านอาหาร ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. ว่า องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2561 ดัชนีของราคาอาหารของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 30% ซึ่งจะกระทบต่อความมั่งคงทางอาหาร ซึ่งประเทศไทยเริ่มประสบกับปัญหาราคาอาหารแพงมาระยะหนึ่ง และพบว่ายังมีปัญหาโภชนาการด้วย จากข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุด พบว่า มีคนไทยอ้วนมากกว่า 17 ล้านคน โดยเด็กตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 12 ปี จะมีความอ้วนสูงถึง 40% ในจำนวนนี้เมื่อเจาะหาไขมันในร่างกายพบ 70% มีปัญหาไขมันสูงเกินมาตรฐาน สถานการณ์นี้ทำให้แต่ละปีต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาโรคปีละหลายแสนล้านบาท


รศ.ดร.วิลาสินี กล่าวต่อว่า พฤติกรรมการบริโภคของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป จากการสำรวจพบประชาชนอาศัยในเขตเมือง รู้จักชนิดของผักเพียง 8 ชนิด โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ ที่เลือกรับประทานผัก ผลไม้ น้อยลง และหันไปรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีสารอาหารไม่ครบถ้วนแทน ส่งผลให้ไม่มีพื้นที่สำหรับผักพื้นบ้าน ความหลากหลายของอาหารท้องถิ่นลดลง ขณะที่ผักทางการตลาดและอุตสาหกรรมกลับสูงขึ้น และพบว่ามีการใช้สารเคมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการสำรวจโดยสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค พบว่าเกษตรกรไทย 60% มีสารปนเปื้อนตกค้างในกระแสเลือดแสดงถึงการใช้สารเคมีจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังพบว่า ปริมาณการบริโภคผัก ผลไม้ ต่ำกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนด โดยกินเพียง 3 ส่วน จาก 5 ส่วน โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนบริโภคผักเพียง 2 ส่วนเท่านั้น ขณะที่สินค้าทางการเกษตรมีการใช้สารเคมีทำให้มีต้นทุนสูงขึ้น และเกิดปัญหาปนเปื้อนในผักผลไม้ ซึ่งกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

“ความปลอดภัยของอาหาร และโภชนาการที่ดีจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนควรเลือกรับประทานอาหารที่สด สะอาด ปลอดภัย และอร่อย โดยเลือกรับประทานอาหารจากท้องถิ่นที่มีความหลากหลาย และมีราคาไม่แพง ซึ่งแนวคิดนี้เรียกว่า “จากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร” (from farm to table) ที่ผู้บริโภคจะไม่ถูกทำลายสุขภาพ เกษตรกรรายย่อยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ และระบบอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องผลักดันให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทยให้ได้” รศ.ดร.วิลาสินี กล่าว

สำหรับเทศกาลกินเปลี่ยนโลก จัดโดย สสส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อย ได้แลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างความเข้าใจระบบนิเวศอาหารที่หลากหลาย เพื่อสร้างการตระหนัก และรับรู้เรื่องอาหารปลอดภัยให้แก่ประชาชน โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจงาน ได้แก่ นิทรรศการเส้นทางกะปิ นำเสนอกระบวนการผลิตกะปิแบบธรรมชาติและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, ระยะทางของผัก นำเสนอระยะทางตลอดการเดินทางของผักจากแปลงสู่ปากผู้บริโภค และสวนผักคนเมือง City Farm ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนเมืองหันมาปลูกผักที่สดสะอาดปลอดภัยไว้กินเอง รวมถึงซุ้มฝึกลิ้น ที่จะชวนชิมอาหารเปรียบเทียบรสระหว่างอาหารสดเครื่องปรุงรสน้อยๆ กับอาหารปรุงรส ปรุงแต่งอย่างหนัก เพื่อให้รู้จักและแยกรสต่างๆ ของอาหารได้ โดยระหว่างงานจะมีผู้ผลิตจากหลากหลายระบบนิเวศเข้าร่วม อาทิ เกษตรอินทรีย์ จ.เชียงใหม่ ที่จะยกตลาดผักอินทรีย์มาถึงกรุงเทพฯ และเครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์ ที่พาข้าวอินทรีย์หลากสายพันธุ์ และน้ำพริกสารพัดรสชาติ มาให้เลือกสรรกันแบบจุใจ โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคมนี้ ที่สวนสันติชัยปราการ


วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แพทย์แนะแนวทางห่างไกลโรค 'มือ เท้า ปาก'

กทม.ติดตามและเฝ้าระวังโรคมือเท้าปากอย่างใกล้ชิด




หลังจากบิดาของเด็กหญิงวัย 2 ขวบ ที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุที่โรงพยาบาล (รพ.) นพรัตน์ราชธานี กรุงเทพมหานคร ออกมาเปิดเผยว่า แพทย์ตรวจพบเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 ในลำคอลูกสาว เพียงแต่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ยังไม่ฟันธงว่าเป็นเชื้อตัวเดียวกับสาเหตุของโรคมือ เท้า ปาก ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้หรือไม่ ซึ่งความชัดเจนของเรื่องนี้จะกระจ่างหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา ระบาดวิทยา และโรคติดเชื้อ ในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้

ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวว่า ในการทำความสะอาดกำจัดเชื้อก่อโรคนี้ ทำได้ไม่ยาก แต่ก่อนอื่นขอย้ำว่า การใช้เจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์ 70% แม้จะฆ่าเชื้อโรคทั่วไปได้ แต่ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคมือ เท้า ปากได้ ดังนั้น วิธีทำความสะอาดที่เหมาะสม คือ ต้องล้างมือด้วยน้ำและสบู่ เพื่อชะล้างเชื้อจากผิวหนัง ส่วนการฆ่าเชื้อที่พื้นและอุปกรณ์จะต้องใช้โซเดียมไฮโปคลอไรต์ (Sodium hypochlorite) 0.5% เช่น ไฮเตอร์ คลอร็อกซ์ (Clorox) ในกรณีที่เป็นผง ให้ใช้ขนาด 5 กรัม กับน้ำ 950 ซีซี เก็บไว้ใช้ได้นาน 7 วัน ยกเว้นถ้าเปลี่ยนสี แสดงว่าหมดอายุต้องทิ้ง เตรียมใหม่ น้ำยานี้ใช้ทำความสะอาดพื้นผิว สิ่งของ เครื่องใช้ ชุบน้ำยาชุ่มเช็ดบนพื้นผิวที่ต้องการ หรือราดที่พื้น ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างหรือเช็ดออก นอกจากนี้ ต้องนำอุปกรณ์ที่ทำความสะอาดแล้วไปตากแดดให้แห้ง จะทำให้การกำจัดเชื้อได้ดีขึ้น

ขณะที่ นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ สธ. ให้คำแนะนำว่า การล้างมือด้วยน้ำและสบู่ จัดเป็นวิธีที่ฆ่าเชื้อโรคมือ เท้า ปากได้ ที่ผ่านมากรมควบคุมโรคจึงเน้นการป้องกันด้วยการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ การล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ หรืออาจใช้มาตรการที่เรียกว่า "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" ก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้กรณีการทำความสะอาดในโรงเรียนต้องทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมที่เปื้อน เช่น เปื้อนอุจจาระเด็ก ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดทั่วไปก่อน หากจะฆ่าเชื้อนี้ควรใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมคลอรีน เช่น ไฮเตอร์ คลอร็อกซ์ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก หากสิ่งของที่จะเอาเข้าปาก เช่น เครื่องครัว ของเล่นที่จะเอาเข้าปาก ให้ใช้ล้างทั่วไปด้วยน้ำสบู่ ผงซักฟอก แล้วตากแดด ถ้าสามารถต้มได้ ให้ต้มในน้ำเดือด 10 นาที และไม่แนะนำให้ใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดพื้นผิว เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ส่วนกรณีการใช้สระว่ายน้ำสาธารณะ ต้องมีการเติมคลอรีนให้ได้มาตรฐาน ซึ่งโดยปกติการจะเปิดสระว่ายน้ำจะผ่านการรับรองความสะอาด ปลอดเชื้ออยู่แล้ว

"สิ่งสำคัญแนะนำผู้ปกครองให้สังเกตอาการของลูก โดยเน้นการเฝ้าระวังสัญญาณอันตราย ได้แก่ อาการไข้สูงร่วมกับอาเจียน หรือซึม หรือกระตุก หรือชัก หรือหายใจหอบเหนื่อย หากเด็กเป็นต้องรีบพาไปพบแพทย์ แต่หากพบเพียงมีไข้ อาจให้หยุดเรียนสังเกตอาการก่อน โดยถ้ามีไข้ให้เช็ดตัว กินยาลดไข้พาราเซตามอล ห้ามกินยาแก้ปวดชนิดอื่น โดยเฉพาะยาแอสไพริน กินอาหารอ่อน ระมัดระวังการติดต่อสู่เด็กคนอื่นในบ้าน ไม่พาไปสถานที่มีผู้คนแออัด

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไข้เลือดออกผู้ป่วยหมื่นราย ตาย 9 ราย




อธิบดีกรมควบคุมโรคเผยสถาน การณ์ไข้เลือดออกรุนกว่าปีที่ผ่านมา เหตุปี 54 น้ำมาก แต่ขาดการจัดการลูกน้ำยุงลาย มีผู้ป่วยแล้วกว่าหมื่นรายตาย 9 ราย ในกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไป เพราะขาดความตระหนัก
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า ปีนี้สถานการณ์โรคไข้เลือดออกถือว่าน่าเป็นห่วงมาก และคาดว่าจะมีความรุนแรงกว่ามาก เพราะขณะนี้มีผู้ป่วยมากกว่าปีที่แล้ว โดยมีรายงานผู้ป่วยแล้ว 10,147 ราย เสียชีวิต 9 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป เพราะกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเลยไม่ได้ตระหนักในการดูแลตัวเองเท่าไหร่ นึกว่าตัวเองไม่ป่วย เลยทำให้เสียชีวิต ดังนั้นหากใครก็ตามที่มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส เกิน 3 วัน ซึม อาเจียน ทานอาหารไม่ได้ ขอให้สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก ขอให้รีบไปพบแพทย์
อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวต่อว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีอัตราการป่วยสูงสุดเกิน 50 รายต่อแสนประชากร คือ กระบี่ ระยอง ระนอง สมุทรสาคร ตราด พังงา สตูล ราชบุรี ภูเก็ต จันทบุรี สาเหตุที่ไข้เลือดปีนี้น่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากปีที่แล้วน้ำเยอะแต่ไม่มีการจัดการปัญหาลูกน้ำอย่างจริงจัง หากไม่ทำอะไรเลย ประเทศอาเซียนจะมีผู้ป่วยเกิน 2 แสนราย ตายมากกว่า 500 ดังนั้นจึงอยากฝากแนวปฏิบัติ 5 ป. คือ ปิดฝาภาชนะให้มิดชิด เปลี่ยนน้ำในแจกันทุกๆ 7  วัน ปล่อยปลากินลูกน้ำ ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม และปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ
นพ.พรเทพกล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีข่าวดีเรื่องวัคซีนป้องกันไข้เลือดที่มีการวิจัยในประเทศไทยร่วมกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีน คาดว่าภายใน 1 ปี จะมีวัคซีนออกมาใช้ โดยนายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะแถลงผลการวิจัยดังกล่าวในเดือนกันยายน และเชื่อว่าประเทศไทยน่าจะได้รับการฉีดวัคซีนก่อนประเทศอื่นๆเนื่องจากเป็นประเทศร่วมวิจัย ทั้งนี้ วัคซีนดังกล่าวจะฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ในเด็กที่มีอายุ 2 ขวบขึ้นไป
ด้าน นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า สายพันธุ์ไข้เลือดออกที่ระบาดในปีนี้เป็นเชื้อเดงกี่ 1 และ 2 ในขณะที่ปีที่แล้วพบปะปนกันทั้ง 4สายพันธุ์ คือ 1, 2, 3, 4 ส่วนกรณีที่พบผู้เสียชีวิตอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไป ที่น่าเป็นห่วง เพราะผู้ใหญ่ไม่ตระหนัก นึกว่าไม่ได้ป่วยโรคนี้ จึงไปหาหมอช้า และพอไข้ลดนึกว่าหายป่วยแล้วจึงออกไปทำงาน หรือกิจกรรมตามปกติ ส่งผลให้เกิดการช็อกจนเสียชีวิต ซึ่งช่วงหน้าฝนเป็นฤดูที่มีการระบาดของไข้เลือดออกอยู่แล้ว
ที่มา :สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สธ.จัดระเบียบ'ตลาดนัด'ทั่วประเทศ

"สุรวิทย์" ออกนโยบายยกระดับมาตรฐานตลาดนัดกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ เตรียมประกาศให้ตลาดนัดเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชี้ต้องขึ้นทะเบียนขออนุญาตปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐาน

 สธ.จัดระเบียบ'ตลาดนัด'ทั่วประเทศ


นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีนโยบายควบคุมมาตรฐานของตลาดนัด ซึ่งเป็นจุดจำหน่ายอาหารชั่วคราว และกำลังเป็นที่นิยมทั่วประเทศ มีทั้งในเขตเมืองและชนบท เนื่องจากราคาสินค้าย่อมเยา คาดว่าทั่วประเทศจะมีตลาดประเภทนี้ทุกตำบลรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 10,000 แห่ง บางหมู่บ้านมีนัดวันเว้นวัน จึงต้องมีการดูแลคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย โดยตลาดนัดจัดว่าเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ผู้ประกอบการตลาดนัด จะต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียนต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบต.เทศบาล ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
        
นพ.สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้กรมอนามัยได้จัดทำเกณฑ์มาตรฐานของตลาดนัดเรียบร้อยแล้ว และจะประชุมชี้แจงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้ดูแลตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ในเร็วๆ นี้ สำหรับเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำกำหนด 3 ประการได้แก่ 1.ความสะอาดของสถานที่ เช่น ต้องอยู่ห่างจากแหล่งที่ก่อให้เกิดมลพิษอย่างน้อย 100 เมตร แผงจำหน่ายอาหารต้องยกสูงกว่าพื้นไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร ต้องจัดให้มีห้องส้วม ฯลฯ 2.อาหารที่จำหน่ายต้องปลอดภัยจากสารต้องห้ามอย่างน้อย 4 ตัว ได้แก่ สารฟอร์มาลินหรือน้ำยาดองศพ สารกันราหรือกรดซาลิชิลิก สารบอแรกซ์ หรือน้ำประสานทอง และสารฟอกขาว และ 3.มีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคเช่น ระบบตาชั่งกลาง เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สธ.ฉีดวัคซีนหวัดใหญ่ฟรีเน้น 7 กลุ่มเสี่ยง เริ่ม 1 มิ.ย.นี้

มิ.ย.เริ่มฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี! ให้ 7 กลุ่มเสี่ยงในทุกสิทธิ์รักษาพยาบาล 3.55 ล้านคนเป็นปีแรก ใช้งบกว่า 500 ล้านบาท รับบริการได้ในสถานพยาบาลของรัฐทุกแห่ง-รพ.เอกชนที่ร่วมรายการ

สธ.ฉีดวัคซีนหวัดใหญ่ฟรีเน้น 7 กลุ่มเสี่ยง เริ่ม 1 มิ.ย.นี้

นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในปี 2555 นี้ สธ.ร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) จัดโครงการรณงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ประจำปี 2555 โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้แก่ประชากรกลุ่มเสี่ยงในทุกสิทธิการรักษา ได้แก่ 1.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้องรัง หอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง มะเร็งที่กำลังรับเคมีบำบัด เบาหวาน ธาลัสซีเมีย และภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการ 2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 3.ผู้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 100 กิโลกรัม 4.ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ 5.เด็กอายุ 6 เดือน-2 ปี 6.หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป และ 7.บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดสัตว์ปีก จำนวน 3.55 ล้านคน ซึ่งได้ขยายกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากปี 2554 จำนวน 1 ล้านคน

"โครงการนี้ใช้งบประมาณของ สปสช.กว่า 500 ล้านบาท วัคซีนที่นำมาใช้ในการฉีดเป็นวัคซีนรวม 3สายพันธุ์ คือ ชนิดเอ เอช 1เอ็น 1ชนิด เอ เอช 3เอ็น 2และชนิดบี ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบบ่อยในไทยและทั่วโลกและวัคซีนยังใช้ได้ผลดี เพราะเชื้อไม่มีปัญหากลายพันธุ์ จะเริ่มฉีดพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-30 กันยายน 2555 ในสถานพยาบลของรัฐทุกแห่งและโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ" นพ.โสภณกล่าว

นพ.สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะไม่อันครายมากนักสำหรับคนทั่ว แต่สำหรับกลุ่มเสี่ยงจะเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติ


วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บริการทันตกรรมในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ทุกช่วงอายุครรภ์

บริการทันตกรรมในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ทุกช่วงอายุครรภ์ตามโครงการแม่ฟันดีสู่ ลูกรัก โดยจะมีการออกให้บริการตรวจสุขภาพช่องปาก และการให้การรักษาเบื้องต้นแก่หญิงตั้งครรภ์ โดยทันตบุคคลากรของฝ่ายทันตกรรม ในวันอังคาร ที่ 29 พฤษภาคม 2555 ดังนั้นจึงขอเชิญหญิงตั้งครรภ์ในให้มารับบริการในช่วงเวลา ตั้งแต่ 09.00 - 14.30 น.ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเชียงหวาง  ในวันเวลดังกล่าว
 ขอเชิญผู้รับผิดชอบงานสุขภาพภาคประชาชน เข้าร่วมประชุม ดังรายละเอียดตามนี้
                   ๑.วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕  เรื่องการอบรมฟื้นฟูอสม.เชี่ยวชาญด้านแผนที่ทางเดินยุทธศาสตร์ อสม.รพ.สต.ละ ๑๘ คน พร้อมกันที่ศาลเจ้าปู่ เวลา ๐๘.๓๐ น.
                   ๒.วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๘.๓๐ น.  เรื่องการอบรมฟื้นฟูอสม.เชี่ยวชาญในภาวะวิกฤต(น้ำท่วม) อสม.หมู่บ้านละ ๑ คน
                   ๓.วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๘.๓๐ น.  เรื่องการอบรมฟื้นฟูอสม.การป้องกันโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี อสม.รพ.สต.ละ ๒๕ คน
                   ๔.วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๘.๓๐ น.   เรื่องการอบรมฟื้นฟูอสม.เชี่ยวชาญการแก้ไขปัญหาโรคขาดสารไอโอดีน หมู่บ้านละ ๒ คน
                    ในการนี้การอบรมทั้ง ๔ เรื่อง ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเพ็ญ

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อย.เตือนอย่าใช้ "พาราเซตามอล" พร่ำเพรื่อ

อย.เตือน "พาราเซตามอล" ไม่ใช่ยาวิเศษรักษาได้ทุกอาการปวด บอกคนไทยอย่าใช้ยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ หากใช้ไม่ถูกนอกจากไม่บรรเทาอาการ ซ้ำร้ายอาจได้รับอันตรายจากผลข้างเคียง แนะปฏิบัติตามฉลากยา หากไม่เข้าใจให้ปรึกษาเภสัชกรก่อน
นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลการใช้ยาแก้ปวดของคนไทย พบว่า มีการใช้ยาแก้ปวดกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ พาราเซตามอล” ซึ่งส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นยาแก้ปวดสามารถรักษาได้ทุกอาการปวด
ในความเป็นจริงแล้ว อย.ขอเตือนว่าเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากยาแก้ปวดแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพในการรักษา และความปลอดภัยในการใช้ยาแตกต่างกัน โดยทั่วไปแบ่งยาแก้ปวดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้ระงับปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด แต่ไม่มีฤทธิ์ลดไข้ เช่น มอร์ฟีน (morphine) ทรามาดอล (Tramadol) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงจากอวัยวะภายใน เช่น ปวดนิ่วในไต ปวดกล้ามเนื้อหัวใจจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปวดจากบาดแผลที่มีขนาดใหญ่ เช่น หลังการผ่าตัด การคลอดลูก โรคมะเร็ง จึงมักใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิกเป็นส่วนใหญ่ ยากลุ่มดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงสูง โดยเฉพาะ ทรามาดอล (Tramadol) ซึ่งจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ มึนงง อาเจียน กดระบบหายใจ อีกทั้งยังอาจมีอาการทางจิตประสาท เช่น อารมณ์แปรปรวน เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น และหากได้รับยาเกินขนาดจะทำให้เกิดภาวะอื่น ๆ ตามมา เช่น อาเจียน ระบบหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลว ชักและระบบหายใจทำงานช้าลงจนถึงขั้นหยุดหายใจได้
นพ.พงศ์พันธ์ กล่าวต่อว่า ยาแก้ปวดอีกกลุ่มคือ กลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้สำหรับอาการปวดไม่รุนแรง เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal anti-inflammatory drugs : NSAIDs) ซึ่งมีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบ แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานๆ โดยเฉพาะยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เนื่องจากจะมีผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ ระบบทางเดินอาหาร ทำให้คลื่นไส้ ปวดท้อง เป็นแผลบริเวณทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจรุนแรงทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองอุดตัน ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ง่วงซึม มึนงง ซึมเศร้า ระบบเลือด จะขัดขวางการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด มีผลต่อการทำงานของไต โดยทำให้ไตบวม ระดับโปตัสเซียมและโซเดียมในเลือดสูงและไตวาย และมีผลต่อผิวหนัง โดยมีอาการผื่น คัน ผิวหนังพอง บางรายอาจมีการแพ้แสงแดดอีกด้วย นอกจากนี้ ยาพาราเซตามอลที่มีการใช้อย่างแพร่หลายนั้น หากใช้ยาเกินปริมาณที่แนะนำอาจจะนำไปสู่การเกิดพิษต่อตับ จนนำไปสู่ภาวะตับวาย และเสียชีวิตในที่สุด
นพ.พงศ์พันธ์ กล่าวอีกว่า ขอให้ประชาชนผู้บริโภคใช้ยารักษาอาการปวดอย่างถูกต้อง โดยใช้ยาตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยาเกินขนาด ใช้บ่อยกว่า หรือใช้เป็นระยะเวลานานกว่าที่ระบุไว้บนฉลาก หรือเอกสารกำกับยา หรือแพทย์สั่ง เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หรือเสียชีวิตได้ รวมทั้งไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยาแก้ปวด เพราะอาจเพิ่มอาการข้างเคียงของยามากขึ้น ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เตือนใช้ผงปรุงรสเสี่ยงป่วยโรคหัวใจ

เตือนใช้ผงปรุงรสเสี่ยงป่วยโรคหัวใจเหตุกินเกลือเกิน-จี้แก้พฤติกรรม

เตือนใช้ผงปรุงรสเสี่ยงป่วยโรคหัวใจเหตุกินเกลือเกิน-จี้แก้พฤติกรรม

ผศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนมีความนิยมในการใช้ผงปรุงรส หรือก้อนปรุงรสเพิ่มมากขึ้นว่า จากการเก็บข้อมูลส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าว พบว่าส่วนผสมส่วนใหญ่ร้อยละ 40ประกอบไปด้วยโซเดียมหรือเกลือ รองลงมาคือ ไขมันปาล์มร้อยละ 18-20และผงชูรสร้อยละ 15-20แต่หากเป็นชนิดที่ไม่มีผงชูรส ก็จะเปลี่ยนเป็นเกลือเพิ่มขึ้น และน้ำตาล ร้อยละ 8-10เพื่อทำให้มีรสชาติกลมกล่อมขึ้น นอกจากนี้ก็จะมีเนื้อสัตว์อบแห้งเพื่อเลียนแบบของธรรมชาติ โดยทั้งผลิตภัณฑ์ชนิดก้อนและผงมีส่วนประกอบที่ไม่ต่างกันมากนัก

ผศ.ดร.วันทนีย์กล่าวว่า สำหรับข้อกังวลด้านโภชนาการ ในการเติมส่วนประกอบดังกล่าวลงในอาหาร คือ อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับปริมาณโซเดียมที่สูงเกินไป โดยพบว่าก้อนปรุงรส 1ก้อน มีปริมาณโซเดียม 1,800 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา โดยปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันอยู่ที่ 1,000-1,500 มิลลิกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งในการบริโภคแต่ละวัน จะได้รับโซเดียมจากแหล่งต่างๆ อยู่แล้ว ทั้งในผัก ผลไม้ และจากการเติมเครื่องปรุงรสต่างๆ ทำให้เมื่อใส่ผงปรุงรสโอกาสที่จะได้รับโซเดียมเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ และหากรับประทานติดต่อกันอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เกิดผลต่อสุขภาพได้ในที่สุด

"ประชาชนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโดยการใช้ผักทดแทน เช่น แครอต หัวไช้เท้า กระดูก เพราะการเติมผงหรือก้อนปรุงรสมีความเสี่ยงที่จะทำให้ได้รับโซเดียมเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ และพบว่าประชาชนมักเพิ่มเครื่องปรุงชนิดอื่นลงไปอีก ทั้งซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำตาล ยิ่งทำให้ได้รับปริมาณเพิ่มขึ้น โดยการได้รับโซเดียมมาก สัมพันธ์กับโรคความดัน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นเลือด หัวใจ หลอดเลือดสมอง หากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ก็จะยิ่งได้รับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก" ผศ.ดร.วันทนีย์กล่าว


วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

ร้อนจัดระวังพิษสุนัขบ้าคืนชีพ

ร้อนจัดระวังพิษสุนัขบ้าคืนชีพ
อากาศร้อนจัดเสี่ยงต่อสุขภาพหลายกรณี ทั้งโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ลมแดด และพิษสุนัขบ้า
นายพีระพงษ์ สายเชื้อ รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ซึ่งเป็นฤดูร้อน ที่อากาศค่อนข้างร้อนจัดกว่าทุกปีที่ผ่านมา มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนหลายกรณี อันดับแรก คือโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากอากาศร้อนส่งผลให้อาหารเสียง่าย จะเกิดท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ จึงควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ รวมทั้งความสะอาดของน้ำดื่ม เรื่องที่ 2 คือ กรณีการออกไปอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเป็นลมแดด สำหรับผู้ที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิภายนอกที่สูงได้อาจมีอาการรุนแรงหรือ HEAT STROKE อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จึงต้องหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานานหรือไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ซึ่งต้องสังเกตอาการของตนเอง เช่นหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม ตัวเย็นมือเท้าเย็น นอกจากนี้ในผู้ที่ป่วยเป็นความดันโลหิตสูงก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้น ต้องระมัดระวัง รวมทั้งยังพบว่าจะมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคผิวหนังได้มากด้วย สำหรับโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้ดำเนินการเพื่อป้องกันและควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า จนสามารถปลอดจากผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กทม.ก็จะคงเฝ้าระวังต่อไป โดยจะมีการออกหน่วยเคลื่อนที่ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขและแมวอย่างต่อเนื่อง.

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

พบคนไทยเสี่ยงเบาหวานขึ้นตาพุ่ง


สธ.พบผู้ป่วยเบาหวานเจอโรคแทรกเพิ่มมากกว่า 2 แสนรายเสี่ยงตาบอดกว่า 6 หมื่นรายเปิดคลีนิกใน รพ.เร่งรักษา

นายแพทย์โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ผลการตรวจคัดกรองทั่วประเทศปีที่ผ่านมา พบประชาชนป่วยเป็นโรคเบาหวานรายใหม่ โดยไม่รู้ตัวมาก่อน 1 ล้าน 2 แสนกว่าราย ในจำนวนนี้ พบว่า มีโรคแทรกซ้อนด้วยจำนวน 222,185 ราย โดยเป็นโรคแทรกซ้อนทางตามากที่สุด ที่ชาวบ้านเรียกว่าเบาหวานขึ้นตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นรวมจำนวน 62,123 ราย คิดเป็นร้อยละ 23 ของผู้ป่วย

"กล่าวได้ว่าในผู้ป่วยโรคเบาหวานทุก 5 คน จะพบมีปัญหาการมองเห็นได้ 1 คน โดยทั่วไป ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีโอกาสเสี่ยงตาบอดสูงกว่าคนปกติทั่วไปถึง 25 เท่าตัว หากไม่มีระบบการดูแลป้องกันโรคแทรกซ้อนทางสายตาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ในแต่ละจังหวัด และจะทำให้คนไทยมีปัญหาตาบอดมากขึ้น และจะเป็นภาระแก่ครอบครัวและประเทศในระยะยาว" นายแพทย์ โสภณ กล่าว

สำหรับการควบคุมแก้ไขปัญหาโรคแทรกซ้อนทางสายตา ในปีนี้กระทรวงได้จัดระบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน เริ่มตั้งแต่โครงการตรวจคัดกรองหาผู้ป่วยรายใหม่ ในประชาชนอายุ 15ปีขึ้นไปทั่วประเทศที่มีประมาณ 54 ล้านคนทุกพื้นที่ เพื่อดูแลรักษาอย่างถูกวิธี จัดคลินิกให้บริการตรวจรักษา และติดตามผลในโรงพยาบาลทุกระดับจำนวนกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ มั่นใจว่าจะลดปัญหาตาบอดจากเบาหวานขึ้นตาได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ50

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

“หมอเดว” ห่วงเด็ก 6 ขวบดื่มเหล้าส่งผลสมองส่วนคิด

“หมอเดว” ชี้เด็ก 6 ขวบดื่มเหล้าเสี่ยงพัฒนาการสมองส่วนคิดบกพร่อง แนะพ่อแม่ไม่ควรลงโทษเด็กด้วยการตี แต่ควรหาโอกาสพูดคุยกับลูกด้วยความรัก ด้านผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุราวอนเจ้าหน้าที่รัฐเข้มบังคับใช้กฎหมาย หลังเหตุเกิดภายในวัดสถานที่ห้ามดื่ม

ห่วงเด็ก 6 ขวบดื่มเหล้าส่งผลสมองส่วนคิด

จากกรณีเด็กอายุ 6 ขวบแอบดื่มเหล้าในวัดจนหมดสติ อยู่ในภาวะโคม่า จนแพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และส่งเข้าห้องไอ.ซี.ยู.ซึ่งหลังจากนอน รพ.ได้ 2 วัน เด็กอาการดีขึ้น และแพทย์ให้กลับบ้านแล้วนั้น นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน หรือเด็กพลัส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)กล่าวว่า สมองของเด็กมีการ Big Cleaning หรือการจัดการระบบสมองในช่วงจัดรอยเปลี่ยนต่อระหว่างช่วงอายุ คือหากเด็กอยู่กับพฤติกรรมเสี่ยงก็จะต่อเนื่องไปถึงวัยผู้ใหญ่ได้ และยิ่งการดื่มสุราเข้าสู่ร่างกาย ก็จะส่งผลต่อการหลั่งสารโดปามีน (Dopamine) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสารนี้จะมีผลต่อการกดและทำลายสมองส่วนคิด ทำให้เด็กมีปมด้อยเรื่องพัฒนาการของสมอง ส่งผลให้เด็กคิดวิเคราะห์ไม่ได้ รวมทั้งยังส่งผลต่ออวัยวะสำคัญในร่างกาย ทั้งตับ ไตจะเจริญเติบโตไม่เต็มที่

ที่สำคัญตับเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตกลูโคสไปเลี้ยงสมอง หากมีผลกระทบต่อตับกลไกเหล่านี้ก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ และยิ่งเกิดขึ้นในเด็กจึงเกิดอาการช็อคหมดสติได้ดั่งที่เป็นข่าว หากแพทย์ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทันอาจมีอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น ผู้ควบคุมนโยบายทางกฎหมาย หรือชุมชนและผู้ปกครองต้องเอาใจใส่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ปกครองสิ่งแรกที่ควรทำคือหลังจากที่แก้ปัญหาฉุกเฉินเฉพาะหน้าในการช่วยเหลือเด็กให้ปลอดภัยแล้ว คือการปกป้องเด็กให้ความรัก ความอบอุ่น ไม่ควรลงโทษเด็กด้วยการใช้ความรุนแรง เพราะเชื่อว่าเด็กอายุระดับประมาณนี้เป็นช่วงวัยที่เกิดการเลียนแบบ จึงทำให้เด็กอาจทำตามรุ่นพี่หรือสภาพสังคมที่เขาเห็นได้ ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองต้องนั่งคุยกับลูกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นให้ดี และอาจมีการนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการชุมชน ผนึกกำลังเป็นสหกรณ์พ่อแม่หรือชุมนุมพ่อแม่ เพื่อร่วมแก้ปัญหาห้ามดื่มห้ามขายเหล้าในพื้นที่ สร้างจิตสำนึกของปัญหาให้เกิดขึ้นในพื้นที่ก็ได้

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

'เต้นบัลเลต์-กระโดดเชือก' ช่วยพัฒนาสมอง เสริมหัวใจให้แข็งแรง

'เต้นบัลเลต์-กระโดดเชือก' ช่วยพัฒนาสมอง เสริมหัวใจให้แข็งแรง


การเต้นบัลเลต์เป็นกีฬาที่น้อยคนนักจะทราบว่าเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยพัฒนาร่างกายและสมองไปในคราวเดียวกัน โดย อ.ดาริณี ชำนาญหมออาจารย์ประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้ความรู้ถึงประโยชน์ของการเต้นบัลเลต์ว่า เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่มีแบบแผนและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก โดยผู้ฝึกต้องจัดระเบียบร่างกายและกล้ามเนื้อให้ถูกต้องตามหลัก เมื่อฝึกต่อเนื่องเป็นเวลานานร่างกายจะสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา ซึ่งการฝึกบัลเลต์ช่วยพัฒนาสมองของผู้ฝึกทั้งด้านความจำและสมาธิ เนื่องจากเป็นการเต้นที่มีท่าทางตายตัว ผู้ฝึกจึงต้องจดจำท่าทางให้ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องมีสมาธิและสติเพื่อรับรู้ว่าจัดระเบียบร่างกายได้ถูกต้องหรือไม่ เมื่อมีสมาธิดี ก็ย่อมทำให้เรียนรู้ได้ไวจดจำสิ่งรอบตัวได้มากขึ้น อีกทั้งขณะฝึกบัลเลต์ยังได้ฟังเพลงคลาสสิก ซึ่งมีผลวิจัยออกมาว่ามีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองและเพิ่มไอคิวได้ เคล็ดลับสำหรับการฝึกบัลเลต์ในผู้ใหญ่ให้ได้ผลก็คือ ต้องมีความเชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเสมอ หมั่นฝึกฝนเป็นประจำ และมีความอดทนในการฝึก หากอยากมีสมองที่ฉับไว ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยไหนก็สามารถฝึกบัลเลต์ได้เพียงแต่อาจใช้เวลาในการพัฒนาต่างกัน

สำหรับกีฬาที่ช่วยเสริมหัวใจให้แข็งแรง คือ การกระโดดเชือก เป็นกีฬาที่ได้รับการยอมรับทั้งจากประเทศไทยและทั่วโลกว่าสามารถสร้างสุขภาพได้จริง ซึ่งจะเห็นได้จากการตั้งชมรมหรือสมาคมกระโดดเชือกในนานาประเทศ รวมไปถึงมีการจัดให้มีการแข่งขันในระดับนานาชาติทั้งในรูปแบบกระโดดคนเดียวและกระโดดพร้อมกันครั้งละหลาย ๆ คน โดยพล.อ.นพ.ประวิชช์ ตันประเสริฐ ประธานโครงการกระโดดเชือกทางเลือกเยาวชนพ้นโรคหัวใจมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้คำแนะนำว่า การกระโดดเชือกเป็นการออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงและใช้กล้ามเนื้อ เช่น แขน ขา อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้หัวใจเต้นช้าลง สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ครั้งละปริมาณมาก จึงทำให้ปอดขยาย และกักเก็บออกซิเจนได้มากขึ้น นอกจากนี้การกระโดดเชือกยังเป็นการออกกำลังกายที่ต้องอาศัยการทรงตัวที่ดี เมื่อกระโดดเชือกเป็นเวลานาน จึงยิ่งส่งเสริมให้ร่างกายมีการทรงตัวที่ดี และช่วยลดปัญหาหกล้มหรือเดินเซ เมื่อเข้าสู่วัยชราได้ อีกทั้งในขณะที่กระโดดเชือกสายตาและเท้าต้องทำงานประสานกันตลอดเวลา จึงเป็นการเพิ่มความคล่องแคล่ว ว่องไว ให้แก่ระบบประสาทได้เป็นอย่างดี


วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555

ศจย. ชวน อสม. เลิกบุหรี่ในวันอสม.

ศจย. ชวน อสม. เลิกบุหรี่ เริ่มต้นวันดี ในวันอสม.แห่งชาติ



ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)กล่าวว่า ศจย. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้สนับสนุนการวิจัยเรื่อง “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) 5 จังหวัด” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมี อสม. กระจายในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศจำนวนหลายแสนคน  โดย อสม. ถือว่ามีบทบาทในการเป็นผู้นำ การเผยแพร่ความรู้ ค่านิยมและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ คณะผู้วิจัยจึงได้ทำการวิจัยเพื่อนำไปสู่สนับสนุนให้ อสม. ลด ละ เลิกบุหรี่ ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ร้อยเอ็ด และยะลา  โดยพบว่า อสม. บางส่วนยังคงสูบบุหรี่  ซึ่ง อสม. ชาย ที่ยังมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ อยู่ที่ 25-66% ของ อสม. ชายทั้งหมด จึงนำไปสู่การทำโครงการเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่การลด ละ เลิก

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรเมื่อ..ผิว (เริ่ม) เครียด

ทำอย่างไรเมื่อ..ผิว (เริ่ม) เครียด



สาเหตุของโรคเครียดทำร้ายผิวเป็นอาการที่บ่งบอกว่าร่างกายของเรานั้นเหนื่อยและเครียดจนเกินระดับปกติแล้ว ทำให้มีอาการแสดงออกมาทางผิวหนัง เป็นผื่นแดงและคัน หากผู้ป่วยเผลอไปเกาจนผิวหนังเป็นแผลกลายเป็นแผล เปิดประตูรับเชื้อโรคต่าง ๆ ให้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ทำให้เกิดอันตรายจากการติดเชื้อตามมา


สังเกตอาการเมื่อผิวเริ่มเครียด : ผิวจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง เป็นขุยที่หน้าตา หัวคิ้ว ข้างจมูก หลังหู ไรผม ซึ่งเรียกว่า "เซ็บเดิร์ม" และเกิดผื่นคล้ายลมพิษขึ้นตอนเย็นหลังเลิกงาน หลังออกกำลังกาย หรือช่วงมีระดู มีผื่นตามตัว มักขึ้นในช่วงนอนดึก เครียดจัด จะเป็นแล้วก็หายไปได้เอง แต่สักระยะ ก็เป็นใหม่อีก

การรักษาอาการผิวเครียด : สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าทำงานอย่างหักโหมและพยายามกำจัดความเครียดให้หมดไป รู้จักการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อย่าให้ร่างกายเหนื่อยเกินไป ควรทำจิตใจให้แจ่มใสเสมอ ด้วยการฝึกสมาธิ ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมงเพื่อขับไล่ความเครียด และทำให้ร่างกายได้หลั่งสารความสุข ที่เรียกว่า เอ็นโดฟิน ซึ่งสารนี้มีฤทธิ์คลายปวดทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม ควรดื่มน้ำสะอาดเพื่อให้ร่างกายสดชื่น บำรุงร่างกายด้วยการกินวิตามินซี สังกะสี น้ำมันปลา กินอาหารที่มีธาตุร่าเริงเช่นข้าวโพดเหลือง ปลาสด และ มะเขือเทศ

นอกจากนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดี ซึ่งในปัจจุบัน เวชสำอางถือว่าเป็น Today Generation ของวงการเครื่องสำอางในปัจจุบัน และมีประสิทธิภาพสูงในปริมาณที่มากกว่าเครื่องสำอางทั่วไป ด้วยคุณสมบัติเฉพาะของเวชสำอาง ที่มีเนื้อบางเบา ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม และสารปรุงแต่ง จึงมีความอ่อนโยนต่อผิวพรรณ สามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวได้เร็วไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง และทำให้รู้สึกสบายผิว พร้อมทั้งช่วยในการปรับสภาพผิวได้ดีอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อสม.ดีเด่นระดับเขต 10 ประจำปี 2555

นางนงนุช   บุญวิเศษ
อสม.ดีเด่นระดับเขต 10 ประจำปี 2555
สาขาสุขภาพจิตในชุมชน
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเชียงหวาง
อำเภอเพ็ญ   จังหวัดอุดรธานี

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการกินผลไม้ได้ง่ายขึ้น


เคล็ดลับการกินผลไม้ได้ง่ายขึ้น


การทานผลไม้เป็นประจำในปริมาณที่พอเหมาะเป็นผลดีต่อสุขภาพ โดยการทานผักผลไม้สามารถป้องกันโรคเรื้อรังได้หลายโรค ผลไม้ จะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โพแทสเซียม ไฟเบอร์ วิตามิน C และ กรดโฟลิก ผลไม้ส่วนใหญ่ จะมีไขมันต่ำ โซเดียม และ
แคลอรีต่ำ

1.เตรียมผลไม้ไว้ในที่สามารถหยิบทานได้ง่าย บนโต๊ะอาหาร ในตู้เย็น

2.เลือกซื้อผลไม้ตามฤดูกาล จะได้ผลไม้ที่ราคาไม่แพง รสชาติดี อาหารนำผลไม้ไปประกอบอาหาร

3.พยายามเลือกผลไม้ให้หลากหลาย อาจจะเป็นผลไม้สด ผลไม้กระป๋อง ผลไม้แห้งก็ได้ แต่ผลไม้แห้งจะแคลอรีสูงกว่า

4.การเลือกทานผลไม้สด จะดีกว่าการดื่มแต่น้ำผลไม้ เพราะจะได้รับไฟเบอร์มากกว่า

5.สำหรับคนที่มีลูกเล็ก ๆ พยายามเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็ก ๆ

6.อาหารเช้าสุขภาพสามารถเพิ่มผลไม้เข้าไป เช่น ซีเรียลเติมกล้วยหอม สตรอเบอรี่ หรือใช้กล้วยฝานบาง ๆ แทนแยมหรือเติมผลไม้ลงในโยเกิร์ตก็ได้

7.อย่าลืมเผื่อท้อง หลังอาหารเที่ยงให้กับผลไม้ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่าย หรือ จะเตรียมไปจากบ้านก็ได้

8.สำหรับมื้อเย็น หากทานเป็นสลัด สามารถเพิ่มผลไม้เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นสัปปะรด องุ่น หรือเบอร์รีต่าง ๆ

9.ผลไม้แห้ง เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถพกพาได้สะดวกไปได้ทุกที่ แต่อย่าลืมเรื่องแคลอรีที่มากขึ้น

10.อย่าลืมเรื่องของความสะอาดในการล้างทำความสะอาด เพื่อป้องกันสารตกค้าง หรือเชื้อโรค

บทความที่ได้รับความนิยม