วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพประกอบ sex ยิ่งคุยยิ่งเข้าใจ

“รักจริงต้องใส่ใจ...รักปลอดภัยต้องป้องกัน”





ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรทราบ
1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้น แต่พบมากในหมู่วัยรุ่น
2. อัตราการติดเชื้อของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์พบมากขึ้น เนื่องจากวัยรุ่นมีค่านิยมที่จะอยู่ก่อนแต่งงาน หรือนิยมมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังไม่มาก และที่สำคัญมีการหย่าร้างสูง ทำให้คนมีสามีหรือภรรยาหลายคน ทำให้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น
3. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยมากมักจะไม่เกิดอาการ ดังนั้นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อโดยที่ไม่รู้ตัว แพทย์บางประเทศจึงแนะนำให้มีการตรวจค้นหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับคนที่สำส่อน
4.โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขอย่างมาก เช่น 
- โรคอาจจะลุกลามไปยังมดลูกหรือท่อรังไข่ทำให้เกิดการอักเสบในช่องท้อง Pelvic inflammatory disease ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการเป็นหมันหรือตั้งครรภ์นอกมดลูก
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง เช่น การติดเชื้อ human papillomavirus infection (HPV) ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถติดต่อไปยังทารกในครรภ์ได้ เป็นต้น

กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรค
- การมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือหญิงบริการใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การมีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การมีเพศสัมพันธ์กับคู่คนใหม่ใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การที่มีประวัติป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใน 1 ปีที่ผ่านมา
- การที่สามีหรือภรรยามีคู่นอนมากกว่า 1 คนใน 3 เดือนที่ผ่านมา
- การที่คู่ครองอยู่กันคนละที่



การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดีที่สุดคือการไม่มีเพศสัมพันธ์ หากยังมีเพศสัมพันธ์ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
- ไม่เปลี่ยนคู่นอน ให้มีสามีหรือภรรยาคนเดียว
- ใส่ถุงยางให้ถูกต้องหากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
- อย่ามีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อยเพราะจากสถิติหากมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยจะมีโอกาสเสี่ยงติดโรคสูง
- ให้ตรวจประจำปีเพื่อหาเชื้อโรคแม้ว่าจะไม่มีอาการ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการแต่งงานใหม่
- เรียนรู้อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- อย่าร่วมเพศขณะมีประจำเดือนเพราะจะทำให้เกิดโรคติดต่อได้ง่าย
- อย่ามีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หากจำเป็นให้สวมถุงยางอนามัย
- อย่าสวนล้างช่องคลอดเพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย


วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ควรจะประกาศให้เทศกาลตรุษจีนเป็นวันหยุด





ในปัจจุบันประเทศในกลุ่มอาเซียนได้ประกาศให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดราชการหมดแล้ว เหลือเพียงประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเท่านั้น ที่วันตรุษจีนยังไม่ได้เป็นวันหยุด
นายยุทธชัย สุนทรรัตนเวช นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (สทน.) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2556 นี้ กลุ่มประเทศในอาเซียนเกือบทั้งหมด ได้ประกาศให้เป็นวันหยุดเพื่อการท่องเที่ยว ทั้งนี้สมาคมฯ มองว่า หากประเทศไทยประกาศให้เป็นวันหยุดราชการได้ จะมีการสร้างมูลค่าทางการท่องเที่ยวได้กว่า 10,000 ล้านบาทต่อวัน
ซึ่งในปัจจุบันประเทศในกลุ่มอาเซียนได้ประกาศให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดราชการหมดแล้ว เหลือเพียงประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเท่านั้น ที่วันตรุษจีนยังไม่ได้เป็นวันหยุด จะมีก็แต่เพียงทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ได้มีมติให้วันตรุษจีนเป็นวันหยุดราชการใน  4 จังหวัดภาคใต้ เพื่อความเท่าเทียมเท่านั้น เพราะเห็นว่าวันตรุษไทยและวันตรุษอิสลาม ต่างก็มีวันหยุดเป็นของตัวเอง
“เทศกาลตรุษจีน จะมีวันจ่าย และวันเที่ยว อยู่แล้ว ซึ่งกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ประกาศให้เป็นวันหยุดกันหมดแล้ว เหลือแค่ไทยกับกัมพูชาเท่านั้น และจากที่ประชุมเรื่องการกระตุ้นรายได้ทางการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาท ทางภาคเอกชนก็ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วว่าให้เพิ่มวันหยุด เพราะอีก 2 ปีเท่านั้น ไทยก็จะเข้าสู่ประชาคมเสรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อย่างเต็มตัวแล้ว ดังนั้นไทยก็ควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย อีกทั้งยังเป็นการให้ความสำคัญกับจีนที่ถือเป็นพี่ใหญ่ในเอเชีย และมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยมากเป็นอันดับ 1” นายยุทธชัย กล่าว
ทั้งนี้ในช่วงวันตรุษจีน ตลาดหุ้นหรือตลาดการซื้อขายต่างๆในหลายๆประเทศก็ทำการปิดตลาด หยุดซื้อขาย ไม่มีการทำธุรกรรมต่างๆ คนส่วนใหญ่ก็ดำเนินกิจการอะไรไม่ได้มากนัก หากประเทศไทยจะเพิ่มให้เป็นวันหยุดราชการเหมือนประเทศอื่นๆ ก็จะเกิดการสะพัดของรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น

บทความที่ได้รับความนิยม